![]() |
สภาการศึกษา เปิดผลวิจัยการติดตามและประเมินผลการจัดการเรียนการสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน นักวิจัย แนะ เร่งเปลี่ยนบทบาท-พัฒนาครู
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม สำนักเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) จัดการประชุมสัมมนา เรื่อง “การติดตามและประเมินผลการจัดการเรียนการสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะและทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21” โดยมี ดร.ภูมิพัทธ เรืองแหล่ ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา เป็นผู้เปิดการประชุม ดร.มารุต พัฒผล หัวหน้าพหุสาขาพหุวิทยาการ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) และดร.ลัดดา หวังภาษิต อาจารย์ จากมศว เสนอผลการวิจัย เรื่อง การติดตามและประเมินผลการจัดการเรียนการสอนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะและทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ดร.ภูมิพัทธ เรืองแหล่ ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า จุดประสงค์ในการจัดสัมมนาในครั้งนี้ มาจาก สกศ.ได้มอบหมายทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ลงพื้นที่วิจัยเรื่องการจัดการเรียนการสอนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ส่งผลต่อการเรียนรู้ และทักษะของผู้เรียนศตวรรษที่ 21 มากน้อยเพียงใด ซึ่งทีมวิจัยได้รวบรวมข้อมูลในการจัดการศึกษาทุกระดับชั้น และจะลงไปรวบรวมข้อมูลจากโรงเรียนที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนที่มีความพร้อม หรือมีโรงเรียนที่มีความพร้อมตามบริบทสภาพพื้นที่
ดร.ภูมิพัทธ กล่าวต่อว่า ความคาดหวังในการนำผลวิจัยไปใช้ คือ หลังจากที่เราเผชิญหน้าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ทำให้การศึกษาเจอการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการจัดการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผู้เรียนมีภาวะความรู้ถดถอย (Learning Loss) และสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ 1-2 ปีที่ผ่านมา มีข้อจำกัดหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นผู้เรียนไม่สามารถที่จะไปเรียนได้ ต้องปรับวิธีการเรียนใหม่โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการจัดการศึกษามากขึ้น ในขณะเดียวกันครูต้องเพิ่มทักษะในการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบอื่นๆ นอกเหนือจากการเรียนรู้ในห้องเรียนแล้วการเรียนรูัในศตวรรษที่ 21 เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สภาการศึกษามีความคาดหวังว่าผลในการจัดสัมมนาในวันนี้จะเป็นข้อเสนอในเชิงนโยบายโดยการนำผลการวิจัยครั้งนี้มาปรับหลักสูตรฐานสมรรถนะที่ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ รวมถึงผลการสอบ PISA ของเราที่อยู่ในระดับไม่น่าพึงพอใจ ซึ่งสาเหตุ อาจจะเกิดจากผลการจัดการศึกษา หรืออาจจะเกิดจากสภาพแวดล้อม เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นต้น ดังนั้นผลจากการวิจัยในวันนี้ จะได้ประโยชน์ในจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายไม่ว่าจะเป็นการปรับหลักสูตร แก้ปัญหาผลการสอบ PISA
“ผมเชื่อมั่นว่าผลจากการวิจัย สัมมนาในวันนี้ ผู้บริหาร ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางการศึกษามารับฟัง จะเป็นข้อเสนอที่สภาการศึกษาจัดทำข้อเสนอทางการศึกษา เพื่อเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงหลักสูตร ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ที่มอบนโยบาย เรียนดี มีความสุข ซึ่งคำว่าเรียนดีนั้น ไม่ได้ หมายถึงการเรียนเก่ง แต่หมายถึงให้เด็กสามารถเรียนรู้อย่างมีความสุข ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนอย่างมีคุณภาพ มีทักษะ นำไปสู่การมีงานทำ นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. อยากให้หน่วยงานการศึกษา ช่วยจัดการศึกษาไปสู่เป้าหมายของการจัดการศึกษาในแต่ละหน่วยงาน เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีเป้าหมายให้เด็กจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีเป้าหมายให้เด็กมีอาชีพ มีงานทำ หรือ สภาการศึกษา มีหน้าที่รวบรวมข้อเสนอแนะทางนโยบาย ดังนั้น การที่หน่วยงานต่างๆ ร่วมมือในการจัดการศึกษา ไม่ได้หมายถึงสร้างให้เด็กเก่งอย่างเดียว แต่คือการสร้างให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีงานทำ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายที่รัฐมนตรีว่าการศธ.”ดร.ภูมิพัทธ กล่าว
ดร.มารุต พัฒผล กล่าวว่า จุดประสงค์งานวิจัยเพื่อติดตามการจัดการเรียนการสอน และจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งจากงานวิจัยนี้พบประเด็นปัญหาที่น่าสนใจ คือ การจัดการเรียนการสอนของครู โดยงานวิจัยพบว่าการจัดการเรียนการสอนเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เด็กมีทักษะในศตวรรษที่ 21 ประกอบกับบทบาทของครูจะต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ครูเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียน แต่ปัจจุบันครูเปลี่ยนบทบาทเป็นโค้ช สร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนอยากจะเรียนรู้ด้วยตนเอง ถ้าเราสามารถพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนตั้งแต่วัยเด็กขึ้นมา ตนเชื่อมั่นว่า 3R8C จะต้องพัฒนาขึ้นแน่นอน “จากงานวิจัย มีข้อเสนอแนะดังนี้ คือ ต้องเร่งพัฒนาครูให้เปลี่ยนบทบาทมาเป็นโค้ชอย่างแท้จริง ซึ่งผมคิดว่าสามารถทำได้เลย ถ้าเราจะปรับหลังสูตรหรือเปลี่ยนโครงสร้างอะไรต่างๆ อาจจะต้องใช้เวลา ดังนั้นครูจึงเป็นส่วนสำคัญที่สุด รองลงมาคือผู้อำนวยการโรงเรียนที่เราจะต้องเปลี่ยนมายเซตให้กับผู้อำนวยการว่าเราต้องพัฒนาเด็กอย่างไร ผมมองว่าครูกับผู้อำนวยการโรงเรียนจะเป็นกุญแจสำคัญ และเป็นนโยบายเร่งด่วนที่เราจะต้องรีบพัฒนา ข้อเสนอแนะต่อมาคือเรื่องของหลัวสูตร ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้ว่าหลักสูตรมีเนื้อหาค่อนข้างจะมาก และส่งผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอน ข้อเสนอแนะต่อมาคือเรื่องของงบประมาณ จากที่ผมลงพื้นที่ พบว่าโรงเรียนที่มีงบประมาณ ที่ควรจะเป็นนโยบายระดับประเทศที่พิจารณาช่วยโรงเรียนและสร้างคุณภาพกับเด็ก เชื่อว่างานวิจัยนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะไปช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักสูตร เรื่องการพัฒนาบุคลากร และความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพราะเด็กที่อยู่ห่างไกล ไม่สามารถเข้าถึงคุณภาพการศึกษาได้ดีเท่ากับเด็กที่มีความพร้อม หวังว่างานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งทีาจะไปช่วยระดับนโยบายด้านการศึกษาต่อไป“ดร.มารุต กล่าว
ดร.ลัดดา หวังภาษิต อาจารย์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวว่า จากงานวิจัย พบว่าจะต้องช่วยครูในรูปแบบของการโค้ช คนที่เข้าไปประเมิน เช่น ศึกษานิเทศก์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับครู ควรจะรับฟังปัญหา ความภาคภูมิใจของครู ว่าที่ผ่านมาครูได้อะไรไปแล้วบ้าง ถ้ามีอะไรที่ครูสะท้อนกลับมา เราจะถามคำถามย้อนกลับไป เพื่อให้ครูได้แนวทางในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ทั้งนี้เคยมีนักวิจัยพูดว่าการโค้ช คือ การดึงเอาทุกสิ่งทุกอย่างออกมา เวลาเราสอน หรือเราบอกความรู้ เด็กอาจจะได้ความรู้ได้ไม่เต็มเปี่ยมเท่ากับการให้เด็กรู้จักและค้นพบด้วยตนเอง ซึ่งตนมองว่างานวิจัยครั้งนี้ จะช่วยให้เราเห็นข้อจำกัดทางการศึกษา และจะทำยังไงที่จะสะท้อนให้ครูเห็นว่าครูไม่ได้อยู่คนเดียว สู้คนเดียว ยังมีคน มีหน่วยงานที่อยากจะช่วยเหลืออยู่
|
โพสเมื่อ : 20 ธ.ค. 66 อ่าน 820 ครั้ง คำค้นหา : |