ห้ามรับน้องภายนอกสถาบัน สอศ.บี้ล้อมคอกเร่งสอบ




      

ห้ามรับน้องภายนอกสถาบัน สอศ.บี้ล้อมคอกเร่งสอบ


          สอศ.ร่อนคำสั่ง 'ห้ามรับน้อง' นอกสถานที่เด็ดขาด ลั่นเอาผิดสถาบันทุกกรณี ห้ามอ้างไม่รู้อีก ตร.หัวหินเร่งสอบคดีรับน้องโหด รอนิติเวชสรุปสาเหตุการตาย พร้อมสอบพยานคลี่ปมซ้อมรุ่นน้อง ขณะที่ผู้ว่าฯ ประจวบฯ ก็สั่งทุกหน่วยในจังหวัด เฝ้าระวังเด็กที่มารับน้องในพื้นที่ ด้านพ่อ 'น้องกัน' เหยื่อรับน้อง เรียกร้องเพิ่มโทษเด็กที่ฝ่าฝืนอย่างเด็ดขาด หรือปิดกั้นระบบรับน้องเน่าๆ
          จากกรณีที่นายโภไคย แสงโรจน์รัตน์ หรือน้องกัน อายุ 16 ปี นักศึกษาชั้น ปวช.ปีที่ 1 วิทยาลัยเทคนิคแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี เดินทางไปรับน้องกับรุ่นพี่ที่วิทยาลัย ก่อนเสียชีวิตระหว่างที่ทำกิจกรรมรับน้อง เหตุเกิดบริเวณหาดทรายน้อย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
          ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 31 ส.ค. นายภาณุพงศ์ แสงโรจน์รัตน์ พ่อของน้องกัน ให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกว่า หลังรู้ว่าน้องกันเสียชีวิตก็รีบเดินทางไปโรงพยาบาลกรุงเทพหัวหินทันที ซึ่งภาพที่พบคือน้องกันนอนนิ่งไม่ไหวติง และไม่มีลมหายใจ สำหรับสาเหตุการเสียชีวิตยังไม่มีใครบอกได้ ต้องรอทางหมอผ่าพิสูจน์เสียก่อนจึงจะสามารถระบุได้ ส่วนลางบอกเหตุก็เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น บางครั้งลางบอกเหตุก็อาจจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดีก็ได้ มันเป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่า
          ผมรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับลูกตัวเอง มันกะทันหันมาก ซึ่งวันแรกที่น้องกันจะออกไปทำกิจกรรมรับน้องกับเพื่อนๆ ก็มาขอว่าจะออกไปเที่ยวกับเพื่อน โดยไม่ได้บอกความจริงว่าจะไปรับน้อง เนื่องจากทางรุ่นพี่ต้องการให้บอกไปอย่างนั้น ผมจึงอนุญาตให้ไปเพราะเป็นวันหยุด จนกระทั่งมาทราบอีกทีน้องกันก็เสียชีวิตไปแล้ว พ่อน้องกันกล่าว
          นายภาณุพงศ์กล่าวต่อว่า อยากฝากไปถึงกระทรวงศึกษาธิการและผู้ที่เกี่ยวข้องเรื่องมาตรการเกี่ยวกับกิจกรรมรับน้อง แม้จะมีมาตรการบังคับใช้อยู่แต่ปัจจุบันก็ยังมีรับน้องกันตามปกติ ตนเชื่อว่ามาตรการที่ออกมาบังคับใช้คงไม่ได้ผลเท่าไร เนื่องจากเด็กไม่ฟังและยังทำกิจกรรมรับน้องกันอยู่ ส่วนอาจารย์อาจจะรับรู้หรือไม่รู้เรื่อง ก็คงห้ามไม่ได้ เพราะนักศึกษาไปกันเองและเป็นวันหยุดด้วย อย่างไรก็ตามทุกอย่างต้องมีเหตุและผลของมัน มันก็เหมือนไฟไหม้ฟาง หมดกองนี้ก็ลามไปอีกกองไม่จบไม้สิ้น เพราะฉะนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายคงต้องหามาตรการที่จริงจังมาดำเนินการกับเรื่องนี้เสียที
          นายภาณุพงศ์กล่าวด้วยว่า อยากให้ยุติเรื่องการรับน้องนอกระบบเสียที เรื่องนี้เรื้อรังมานาน ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ซึ่งบทลงโทษที่ออกมาก็มีทั้งของกระทรวงศึกษาธิ การและของสถาบัน แต่เด็กก็ยังคงฝ่าฝืนกันอยู่อีก ตนเห็นว่าน่าจะมีบทลงโทษที่รุนแรงกว่านี้ หากมีกรณีรับน้องที่รุนแรง อาจารย์รับทราบ รุ่นพี่กลุ่มดังกล่าวอาจจะถูกไล่ออก แต่ก็อาจจะเข้าไปเรียนที่สถาบันแห่งใหม่ ถ้าเป็นไปได้ควรปิดกั้น ไม่ควรรับเข้าสถาบันไปเลยก็ได้ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก และปิดกั้นระบบรับน้องเน่าๆ ที่เป็นอยู่ ซึ่งเหตุการณ์นี้ตนอยากให้ลูกตนเป็นคนสุดท้าย ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใครอีก
          นายภาณุพงศ์กล่าวต่อว่า สำหรับศพน้องกันคืนนี้หมอที่นิติเวช ร.พ.ตำรวจ จะผ่าชันสูตร และในวันที่ 1 ก.ย. เวลาประมาณ 12.00 น. ตนพร้อมญาติจะเดินทางไปรับศพน้องกันด้วยตนเอง แล้วนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดชินราราม ต.บางแขยง อ.เมือง จ.ปทุมธานี เพื่อบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป
          ด้านพล.ต.ต.ธเนษฐ สุนทรสุข ผู้บังคับ การตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรี ขันธ์ เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำผู้เห็นเหตุการณ์ซึ่งเป็นแม่ค้าที่อยู่บริเวณหาดทรายน้อย 2 ราย พร้อมทั้งสอบปากคำเด็กนักศึกษาโดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยได้ระดมพนักงานสอบสวนทั้ง สภ.หัวหินเร่งสอบปากคำเด็กทั้งหมด เบื้องต้นได้ตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงความตาย แต่ต้องสืบสวนขยายผลเพื่อค้นหาว่ามีใครเป็นผู้กระทำผิด โดยหลังจากสอบปากคำแล้วตลอดจนลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ พิเคราะห์จากสภาพแวดล้อมในเหตุการณ์ พบว่ามีหลายประเด็นไม่ตรงกับคำให้การของกลุ่มนักศึกษา
          พล.ต.ต.ธเนษฐกล่าวอีกว่า ส่วนสาเหตุการตายของนายโภไคยยังสรุปไม่ได้ ต้องรอผลจากสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ชี้ขาดในสาเหตุการตายที่แท้จริง คาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 3 วัน เมื่อได้ผลจากนิติเวชที่แน่ชัดแล้วการสืบสวนจะเป็นไปตามแนวทางผลทางนิติวิทยาศาสตร์ ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุแน่ชัดว่ามีผู้กระทำความผิดกี่คน หรือสาเหตุการเสียชีวิตแน่ชัด เบื้องต้นพ่อและแม่ให้การว่าผู้ตายมีโรคประจำตัว จึงควรรอผลนิติเวชเพื่อให้ความเป็นธรรมและถูกต้องมากที่สุด
          พ.ต.อ.รณภพ พัฒนา พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ (พงส.ผทค.) สภ.หัวหิน หัวหน้าชุดสอบสวน กล่าวว่า ล่าสุดได้สอบปากคำพยานไป 14 ปากแล้ว ยังเหลืออีกหลายสิบคนที่ต้องเรียกสอบเพิ่มเติม จากคำให้การเบื้องต้นพบว่ามีการดื่มสุราจากแก้วเหล้าที่รุ่นพี่รินไว้ให้เวียนครบทุกคน แต่ไม่มีการเทเหล้ากรอกปาก ส่วนแม่ค้าที่เห็นเหตุการณ์อยู่ริมชายหาด จากระยะทางจุดรับน้องห่างกันประมาณ 30-50 เมตร ผู้เห็นเหตุการณ์ภายนอกอาจมองเห็นไม่ชัดว่าทำอะไรกันแน่ในส่วนที่เห็นว่ามีการหิ้วปีก จากปากคำเพื่อนรุ่นพี่บอกว่าเป็นการใช้มือกอดคอหมู่แล้วกระโดดขึ้นลง
          พ.ต.อ.รณภพกล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นที่ตั้งข้อสงสัยว่ามีการซ้อมรุ่นน้องหรือใช้ความรุนแรงหรือไม่ จากสภาพศพในเบื้องต้นไม่พบรอยช้ำหรือเลือดคั่งตามอวัยวะ และพยานทั้งหมดที่เป็นทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องกล่าวตรงกันว่า ไม่มีการทำร้ายร่างกาย คาดว่าผู้ตายอาจจะอายที่มีโรคประจำตัว จึงไม่ยอมบอกเพื่อนๆ และรุ่นพี่ ในขณะที่ทำกิจกรรมรับน้องไปได้เพียง 3 ฐานกิจกรรม จากทั้งหมด 10 ฐาน แค่คาดว่าผู้ตายน่าจะเหนื่อยจนช็อกเสียชีวิตในที่สุด
          นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในกิจกรรมรับน้อง เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นและเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัด ขอแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวของผู้เสียชีวิต ทั้งนี้กิจกรรมรับน้องไม่ควรมีความรุนแรง หรือการลงโทษที่เกินกว่าเหตุ หากมีถือว่าเป็นการรับน้องที่ผิดไปจากวัตถุประสงค์ที่มุ่งส่งเสริมความรักความสามัคคีระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง ให้รู้จักช่วยเหลือกัน ทั้งนี้ทราบว่า เหตุการณ์รับน้องที่มีผู้เสียชีวิตครั้งนี้ เป็นการนัดหมายมารับน้องนอกสถานที่เพียงลำพังโดยไม่มีครูอาจารย์มาร่วมกิจกรรมด้วยซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดตั้งแต่แรก
          หลังจากนี้ทางจังหวัดจะเพิ่มมาตร การความเข้มงวดในการตรวจสอบกิจกรรมรับน้องที่มาใช้สถานที่ท่องเที่ยวหรือใช้บริการโรงแรมที่พักภายในจังหวัด เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว ทำให้จังหวัดเสื่อมเสียชื่อเสียง โดยที่เราไม่ได้ต้องการให้เกิดเรื่องเศร้าสลดแบบนี้ขึ้น ผวจ.ประจวบฯกล่าว
          นายวีระกล่าวอีกว่า จะแจ้งไปยังอำเภอต่างๆ ทั้ง 8 อำเภอ ตลอดจนกำนันผู้ใหญ่บ้าน ให้ช่วยกันตรวจสอบ หากพบมีการมาใช้สถานที่สาธารณะหรือสถานที่ท่องเที่ยวใดๆ ในจังหวัด รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าตามแหล่งท่องเที่ยวจะต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา เมื่อพบเหตุกิจกรรมรับน้อง ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาตรวจสอบทันที นอกจากนี้จะได้ประสานไปยังผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก หรือ รีสอร์ตต่างๆ หากมีการติดต่อขอใช้สถานที่เป็นหมู่คณะ เพื่อทำกิจกรรมรับน้อง ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรในแต่ละสถานีที่อยู่ใกล้ หรืออาจจะเป็นตำรวจท่องเที่ยว ให้มาตรวจสอบเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นได้
          ส่วนสถานศึกษาทุกแห่งก็ควรจะต้องเพิ่มมาตรการในการตรวจสอบและป้องกันไม่ให้มีการนัดหมายกันออกมารับน้องนอกสถานที่ จนเกิดเหตุร้ายขึ้นแบบนี้เพราะไม่ส่งผลดีต่อฝ่ายใด เนื่องจากเป็นด่านแรกที่จะทำความเข้าใจกับนักศึกษาถึงการรับน้องอย่างถูกวิธีได้ นายวีระกล่าว
          นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ให้สัมภาษณ์ว่า จากการตรวจสอบหลังจากทราบข่าวเมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา ทราบว่าเด็กอาชีวะที่ไปรับน้องในครั้งนี้ เป็นนักเรียนสาขาก่อสร้างของวิทยาลัยในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) โดยรวมตัวไปจัดกิจกรรมรับน้องนอกสถานที่กันเอง ไม่ได้แจ้งให้ผู้บริหารและอาจารย์ทราบเรื่อง เนื่องจากวิทยาลัยได้ประกาศมาตรการห้ามจัดกิจกรรมรับน้องนอกสถานที่ ตามคำสั่งของ สอศ. ตั้งแต่เปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 ที่ผ่านมา จึงแอบไปจัดกิจกรรมกันเอง
          ตอนนี้เราพยายามแยกมาตรการออกเป็น 2 เรื่อง เรื่องแรกคือการเสียชีวิตของนักเรียนระดับ ปวช. ปี 1 นั้นจะต้องว่ากันไปตามกฎหมาย ซึ่งผมได้กำชับทางวิทยาลัยให้อำนวยความสะดวกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนสอบสวนอย่างเต็มที่ ทั้งในส่วนของนักเรียนที่เสียชีวิต และกลุ่มรุ่นพี่ที่พารุ่นน้องไปจัดกิจกรรม นายชัยพฤกษ์กล่าว
          นายชัยพฤกษ์กล่าวต่อว่า เรื่องต่อมาคือการสั่งการให้วิทยาลัยรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดมาให้ทราบภายในวันนี้ พร้อมกันนี้ได้สั่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อสืบสวนวิทยาลัยแล้ว โดยจะเริ่มสืบสวนสอบสวนในวันที่ 1 ก.ย.นี้ หากพบว่าเป็นความบกพร่องของทางวิทยาลัย วิทยาลัยต้องถูกลงโทษตามระเบียบทางวินัยของ สอศ. ซึ่งมีความผิดตั้งแต่ผู้บริหารลงไป นอกจากนี้ในวันนี้ได้สั่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เตรียมหนังสือระเบียบเรื่องการห้ามจัดกิจกรรมรับน้องนอกสถานที่เพิ่มเติม เพื่อส่งให้สถานศึกษาสังกัด สอศ.ทุกกลุ่มทั่วประเทศ ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
          ตัวอย่างใจความสำคัญในหนังสือที่กำลังจัดทำอยู่ คือการเน้นย้ำไปยังสถานศึกษาห้ามนักเรียน นักศึกษาจัดกิจกรรมรับน้องนอกสถานที่เหมือนเดิม และต่อไปหากเด็กจะไปจัดกิจกรรมทุกรูปแบบนอกสถานที่ ทางสถานศึกษาต้องรับรู้ โดยเด็กจะไปทำอะไรที่ไหนต้องขออนุญาตสถานศึกษาทุกครั้ง และต้องจัดส่งครูตามไปควบคุมดูแล ต้องไม่มีกรณีเด็กไปจัดกันเองอีกโดยที่สถานศึกษาไม่รับรู้ ซึ่งประเด็นนี้เราเข้าใจดีว่าจะให้ทราบทุกเรื่องคงเป็นไปได้ยาก แต่หากเกิดปัญหาอีก สถานศึกษาจะต้องรับผิดชอบในทุกกรณี จะปัดความรับผิดชอบหรืออ้างว่าเด็กแอบไปกันเองไม่ได้อีกต่อไป เลขาธิการ กอศ.กล่าว
          นายชัยพฤกษ์กล่าวด้วยว่า การที่สั่งให้สถานศึกษาต้องทราบทุกครั้งว่านักเรียน นักศึกษาในสังกัดรวมกลุ่มไปไหนนั้น ถือว่าค่อนข้างเข้มงวดแล้ว ฉะนั้นหากนักเรียน นักศึกษาแอบร่วมกลุ่มไปกันเองอีก สถานศึกษาต้นสังกัดจะต้องดำเนินการโทษทางวินัยกับนักเรียน นักศึกษากลุ่มนั้น โดยโทษหนักสุดคือไล่ออก ซึ่งประเด็นนี้ทางสถานศึกษาจะเป็นผู้กำหนดบทลงโทษขึ้นมาเอง

        

  --ข่าวสด ฉบับวันที่ 2 ก.ย. 2557 (กรอบบ่าย)--


โพสเมื่อ : 01 ก.ย. 57   อ่าน 1703 ครั้ง      คำค้นหา :