เลาะเลียบคลองผดุงฯ
ตุลย์ ณ ราชดำเนิน [email protected]
ความจริงแล้วเรื่องของการดูแลเด็กที่มีความสามารถพิเศษ
หรือเด็กอัจฉริยะที่อยู่ในวัยเรียนของบ้านเมืองนี้
เคยมีหน่วยงานหลักเข้าไปเป็นเจ้าภาพดูแลเด็ก
หรือรวบรวมข้อมูลไว้อย่างชัดเจน แต่อาจเป็นเพราะขาดการประสานติดตาม
หาทางสนับสนุนเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
จากนโยบายจากรมว.ศธ.ที่มอบให้สภาการศึกษา (สกศ.)
รวบรวมข้อมูลเด็กเหล่านี้ในทุกส่วน
เพื่อจะได้ใช้ข้อมูลติดตามตัวเด็กว่าแต่ละคนอยู่ที่ไหน
เพื่อจะเข้าไปช่วยส่งเสริมพัฒนา ต่อยอดในทิศทางที่ถูกต้องต่อไป
หากย้อนกลับไปดูประเทศเกาหลี เมื่อประมาณ 14 ปี
เริ่มเสาะหาพัฒนาเด็กอัจฉริยะมาพร้อมๆ กับไทย
จะเห็นการทิ้งห่างจากไทยแบบไม่ติดฝุ่น
เนื่องจากมีการวางนโยบายและยุทธศาสตร์ดำเนินการต่อเนื่องที่ชัดเจน
แต่เราขาดการดูแลที่ต่อเนื่อง เอาเด็กมาเข้าค่ายตามช่วงเวลา
เน้นไปแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ เพื่อได้รับเหรียญรางวัลกลับมาแห่แหน
ชื่นชมให้ทุนเรียนต่อ จากนั้นก็เงียบหาย
ส่วนใหญ่จะเป็นนักวิจัยราชการไปเรื่อยๆ หรือเป็นอาจารย์สอนพิเศษ
มีรายได้ดี
ขณะที่งบประมาณของรัฐสนับสนุนมีเพียงปีละไม่กี่ล้านบาทของไทย
ครม.มีมติเห็นชอบแผนพัฒนาการศึกษา
สำหรับเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
ภาษาไทย กีฬา ดนตรี ทัศนศิลป์ และศิลปะการแสดง มาตั้งแต่ปี 2541 ถึงวันนี้
ยังให้น้ำหนักไปแค่วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เท่านั้น
แต่เกาหลีจะทำเป็นโครงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องที่สอดคล้องกับแผนพัฒนา
เศรษฐกิจชาติ โดยเสาะแสวงหาคัดเลือกเด็กอัจฉริยะ ปีละประมาณ 20,000 คน
ระบุเป้าหมายชัดเจนจะปั้นให้เป็นผู้นำด้านใด
ยกตัวอย่าง อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรมรถยนต์ โลจิสติกส์
ไม่มีอู่ต่อเรือ แต่จำเป็นต้องขนส่งสินค้าเพื่อส่งออก
ก็คัดเลือกเด็กอัจฉริยะด้านช่างส่งไปศึกษาต่อที่เยอรมันและฝึกงานกับอู่ต่อ
เรือ เมื่อกลับมาก็ซื้ออู่ต่อเรือจนสามารถดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องพึ่งใคร
คงไม่ต้องพูดถึงประเทศสิงคโปร์ คนน้อยแต่จะใช้วิธีซื้อ
นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติดังๆ มาอยู่ มีทุนวิจัย
เครื่องไม้เครื่องมือ เงินเดือนสูงห้องแล็บพร้อม
ณ บรรทัดนี้ คิดถึงอาชีวศึกษา
มีนักเรียนนักศึกษาอัจฉริยะอยู่มิใช่น้อยในสายวิชาอาชีพต่างๆ น่าจะนำเสนอดู
รับรองไม่ต้องเหนื่อยกับการเรียกคนเข้าร้านเข้าห้องเหมือนที่ผ่านมา
ที่มา ข่าวสดออนไลน์ วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557