บทเรียนทุจริตในศธ.

บทเรียนทุจริตในศธ.

เลาะเลียบคลองผดุง
ตุลย์ ณ ราชดำเนิน [email protected]

ปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทย เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาช้านาน และส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างยิ่ง แม้ในหลายๆ รัฐบาลที่ผ่านมาจะได้พยายามกําหนดแนวทางแก้ไข ก็ยังไม่เกิดเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง มิหนำซ้ำยังทวีความรุนแรง และมีความซับซ้อนยากต่อการตรวจสอบมากขึ้น

มีรายงานผลการจัดอันดับค่าดรรชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นของประเทศไทยในอดีต ตั้งแต่ปี พ.ศ.2541 จนถึงปี พ.ศ.2554 พบว่า ค่าดรรชนีภาพลักษณ์ยังอยู่ในระดับ 32 จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน มาตลอด

ที่น่าวิตกยิ่งกว่านั้น ในงานวิจัยเรื่อง "คอร์รัปชั่นในระบบราชการไทย การสำรวจทัศนคติและประสบการณ์ของหัวหน้าครัวเรือน" ระบุในปี 2557 โรงเรียนของรัฐบาล เป็นหน่วยงานที่มีสัดส่วนการเรียกเงินสินบน ถึง 13% ติด 1 ใน 3 อันดับแรกในหน่วยงานภาครัฐ

สอดรับกับโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียน ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) พบพฤติการณ์กระทำผิดมีลักษณะเดียวกันทั้งประเทศ และมีมติส่งสำนวนให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนในความผิดฐานฮั้วประมูล

สุดท้ายคงหนีไม่พ้นข้าราชการครู ผู้เซ็นชื่อตรวจรับตามคำสั่งแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ ควบคุมการก่อสร้าง การตรวจรับวัสดุของผู้อำนวยการสถานศึกษา ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของครู ครูซึ่งมีหน้าที่เป็นเพียงผู้สอน แต่ต้องมาทำหน้าที่ในสิ่งที่ไม่มีความรู้ ต้องตกเป็นแพะรับบาปไปโดยปริยาย

ความจริงแล้ว หัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าสถานศึกษา ผอ.เขตพื้นที่การศึกษานั้นๆ ต้องมีส่วนรับผิดชอบอย่างไม่สามารถปฏิเสธในความผิดนี้ โดยเฉพาะผู้ลงนามคำสั่งจนเกิดผลเช่นกัน

บทเรียนการก่อเกิดทุจริตคอร์รัปชั่นในการทรวงศึกษาธิการ ระยะหลังๆ มักพบเสมอในโครงการขนาดใหญ่ ที่การดำเนินการไม่โปร่งใส เอื้อประโชน์ต่อตนเองและกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง ทำให้งบประมาณด้านการศึกษาส่วนหนึ่งหายไป กัดกร่อนคุณภาพการศึกษาจนตกต่ำเป็นดั่งที่เห็น

การป้องกันที่น่าจะช่วยได้ คงต้องให้ความรู้กับครู ผู้บริหารสถานศึกษา เขตพื้นที่ฯ ด้วยการ วางระบบการติดตามการใช้งบประมาณว่าแต่ละหน่วยงานดำเนินการตามขั้นตอนหรือไม่

กรณีทุจริตสนามฟุตซอล และทุจริตอาชีวะยุคหนึ่งที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ เป็นกรณีตัวอย่างได้ชัด

ที่มา ข่าวสดออนไลน์ วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557