ศธ.ปรับเกณฑ์ PA เช็กผลงานครูรายปี ?!
"ชีพจรครู" ฉบับนี้
มีความคืบหน้าการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการ
ศึกษามีวิทยฐานะ หรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษและวิทยฐานะเชี่ยวชาญ
ตามข้อตกลงในการพัฒนางาน หรือ Performance Agreement (PA)
มาบอกเล่าให้เพื่อนครูได้รับรู้และ เตรียมพร้อม
โดยล่าสุด นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ออกมาเปิดเผยว่า
ต่อไปการทำเอกสารรวบรวมผลงานครู หรือ PA เพื่อขอวิทยฐานะ
ควรให้ครูทำเป็นกิจวัตรตั้งแต่เริ่มเป็นครู
ไม่ใช่ทำเฉพาะเข้าสู่วิทยฐานะเท่านั้น
ซึ่งครูที่จะขอวิทยฐานะขั้นต้นคือชำนาญการ จะมีเวลารวบรวมผลงานถึง 8 ปี
โดยภายใน 8 ปีนั้น
หากสามารถสร้างผลงานเชิงประจักษ์ก็สามารถยื่นขอวิทยฐานะได้ทันที ยกตัวอย่าง
หากจะใช้ผลคะแนนทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต)
ในการยื่นเข้าสู่วิทยฐานะ เด็กที่ครูคนนั้นๆ
สอนต้องได้คะแนนโอเน็ตอยู่ในค่าเฉลี่ย (Mean) และหากจะขอระดับชำนาญการพิเศษ
ผลคะแนนโอเน็ตต้องสูงกว่าค่าเฉลี่ย
ถ้าเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญจะต้องมีผลงานเชิงประจักษ์ชัดเจนที่ชี้ให้เห็นว่า
เด็กมีคุณภาพที่ดี และถ้าเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ
ซึ่งเป็นวิทยฐานะสูงสุด ต้องมีผลงานที่เป็นนวัตกรรมหรืองานวิจัยใหม่ๆ ด้วย
โดยการปรับเกณฑ์ PA รูปแบบใหม่นี้
ทำให้ครูไม่ต้องทำเอกสารจำนวนมากเหมือนที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นการลดภาระให้ครูทำรายงานเพียงปีละ 2-3 หน้า
ข้อดีคือไม่รบกวนเวลาที่ครูจะจัดการเรียนการสอน
ทำให้ครูไม่ต้องทิ้งห้องเรียน ไม่ต้องทิ้งเด็ก
และยังทำให้ครูสามารถวางแผนการสอนและทำงานได้ตลอดทั้งปี
ทั้งนี้ในการเสนอขอวิทยฐานะแนวใหม่ ไม่จำเป็นที่ครูจะต้องเสนอขอด้วยตนเอง
อาจจะมีบุคคลอื่น เช่น ผู้บังคับบัญชา
นักเรียนเห็นผลงานและเสนอชื่อให้ก็ได้
ซึ่งหากคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)
ให้ความเห็นชอบตามแนวทางดังกล่าว
ก็อาจจะยกเลิกหลักเกณฑ์การขอมีวิทยฐานะอื่นๆ
ทั้งหมดให้เหลือเพียงแนวทางเดียว!!!
แต่ก็ยังต้องรอลุ้นอีกทีเพราะยังมีเสียงคัดค้านจากผู้เกี่ยวข้อง
โดย นายสุรวาท ทองบุ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.)
มหาสารคาม ในฐานะประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย
(ส.ค.ศ.ท.) มองว่าแนวทางนี้ยังไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร
เพราะยังกังวลว่าหากดูเฉพาะเอกสาร
เมื่อถึงกำหนดเวลาก็จะมีปัญหาทิ้งห้องเรียน
การจ้างทำผลงานทางวิชาการอย่างที่เกิดขึ้น
และหากจะให้นำคะแนนโอเน็ตของเด็กมายื่นขอวิทยฐานะครู ก็ไม่ถูกต้อง
เพราะเด็กแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน
อีกเรื่องที่ต้องจับตาสำหรับเพื่อนครู
คือการขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูที่จะมีการปรับลดให้เหลือ 3 ประเภท คือ
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ใบอนุญาตปฏิบัติการสอน
และหนังสืออนุญาตให้ประกอบวิชาชีพโดยไม่มีใบอนุญาตฯ
โดยคณะกรรมการคุรุสภาจะหารือเรื่อง ดังกล่าวในวันที่ 27 พฤศจิกายนนี้
ทั้ง 2 เรื่องยังไม่ถือว่าเป็นข้อสรุปและคงต้องจับตากันให้ดี เพราะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของวิชาชีพครูอีก ครั้งหนึ่ง
ที่มา มติชน ฉบับวันที่ 25 พ.ย. 2558 (กรอบบ่าย)
|
โพสเมื่อ :
24 พ.ย. 58
อ่าน 1419 ครั้ง คำค้นหา :
|
|