นับเป็นประเด็นร้อนหวิดปรอทแตกไม่แพ้อุณหภูมิประเทศไทย ช่วงกว่าหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ทันทีที่ คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ บอร์ด ก.ค.ศ. มีมติปรับปรุงมาตรฐานตำแหน่ง และแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประจำปี 2560 เปิดทางให้ผู้ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูมาสมัครสอบแข่งขัน เด็ดดอกไม้ยังสะเทือนถึงดวงดาว แต่ มติ ก.ค.ศ.ครั้งนี้ “ตัดขั้วหัวใจ” แวดวงแม่พิมพ์อย่างจัง ก่อให้เกิดการต่อต้านในวงกว้าง ถึงขั้นมีกระแสข่าวล่ารายชื่อ 50,000 ชื่อ เพื่อปลด นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ประธานบอร์ด ก.ค.ศ. พ้นเก้าอี้รัฐมนตรี นพ.ธีระเกียรติแต่สุดท้ายกระทรวงศึกษาธิการ “ยอมถอย” ด้วยการปรับปรุงแนวปฏิบัติการรับสมัครสอบครูผู้ช่วยใหม่ ทำให้เรื่องราวซึ่งมีทีท่าลุกลามส่อเค้าบานปลายกลายเป็นประเด็นการเมืองจบลงด้วยดี “ทีมการศึกษา” ขอทำหน้าที่ย้อนรอยไล่เรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อสะท้อนภาพให้เห็นอย่างชัดเจน เริ่มตั้งแต่การประชุมบอร์ด ก.ค.ศ. เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2560 มีมติปรับปรุงมาตรฐานตำแหน่ง และแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประจำปี 2560 เปิดกว้างให้กลุ่มคน “ไร้ตั๋วครู” สอบครูผู้ช่วยได้ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อให้ได้คนเก่งมาเป็นครู และแก้ปัญหาครูขาดแคลน ปฏิกิริยาตอบโต้จากแวดวงวิชาชีพครูเกิดขึ้นทันที เริ่มจากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเวทีเสวนา “มุมมองเชิงวิชาการต่อการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู สอบบรรจุได้” เมื่อวันที่ 23 มี.ค. จวกยับเป็นการย่ำยีวิชาชีพครู ที่สำคัญนอกจากจะแก้ปัญหาไม่ตรงจุดแล้วยังยิ่งสร้างปัญหาเพิ่ม ทั้งยังเป็นนโยบายที่ขาดการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา สอดรับกับทาง สภาคณบดีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย หรือ ส.ค.ศ.ท. ที่ย้ำชัดกลางงานเสวนา “ถกประเด็นร้อน : ผู้ไม่มี ตั๋วสมัครสอบบรรจุเป็นครูได้” จัดโดยคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 27 มี.ค. ว่าไม่เคยได้รับ การสอบถามความเห็นจากทางกระทรวงศึกษาธิการเลย พร้อมประกาศทำจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้ทบทวนเรื่องดังกล่าว พร้อมๆกับที่นิสิต นักศึกษาครู 3 สถาบัน ประกอบด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ และ มหาวิทยาลัยศิลปากร รวมตัวคัดค้าน พร้อมเดินทางมายื่นหนังสือถึง รมว.ศึกษาธิการขอให้ทบทวนนโยบายเช่นกัน ด้วยเหตุผลว่าวิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง และเป็นวิชาชีพควบคุม ที่กำหนดคุณสมบัติไว้ชัดเจนว่าต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ต้องเรียนครูหลักสูตร 5 ปี และต้องผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา ไม่ใช่เปิดให้ใครก็ได้มาเป็นครู และเรื่องราวทำท่าบานปลายยิ่งขึ้น เมื่อมีกระแสข่าวการรวมตัวของกลุ่มนิสิต นักศึกษาครู นักวิชาการ และคณาจารย์จากคณะ ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ทั่วประเทศ ล่ารายชื่อจำนวน 50,000 รายชื่อ เสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อ ปลด นพ.ธีระเกียรติ ซึ่งอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจต่างประเทศ พ้นจากตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ ทันทีที่กลับถึงเมืองไทยก็มีโทรศัพท์สายตรงจาก “บิ๊กตู่” ถึง รมว.ศึกษาธิการ ให้หาทางออกกับปัญหาที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ นพ.ธีระเกียรติ ต้องเรียกประชุมบอร์ด ก.ค.ศ. นัดพิเศษ และมีมติปรับปรุงแนวปฏิบัติในการรับสมัครสอบบรรจุครูผู้ช่วยใหม่โดยเปิดทางให้ผู้ที่ไม่มี “ตั๋วครู” สมัครสอบได้เฉพาะ 25 สาขาวิชาที่ไม่มีผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตรครู 5 ปี รวมทั้งสาขาที่เป็นความขาดแคลนเรื้อรังของสถานศึกษา  ได้แก่ กายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด การ เงิน/การบัญชี จิตรกรรม จิตวิทยาคลินิก ดนตรีพื้นเมือง นาฏศิลป์ (โขน) ภาษาพม่า ภาษาเวียดนาม ภาษาสเปน เศรษฐศาสตร์ โสตทัศนศึกษา หลักสูตรและการสอน อุตสาหกรรมไฟฟ้าอุตสาหกรรมศิลป์ (ช่างก่อสร้าง) อุตสาหกรรมศิลป์ (ช่างยนต์) ภาษามลายู วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทั่วไป ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาเยอรมัน ส่วนสาขาวิชาที่เปิด สอบนอกจากนี้ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูเท่านั้น “ทีมการศึกษา” มองว่าหากวิเคราะห์เรื่องนี้โดยไม่เข้าใครออก ใคร การเปิดโอกาสให้กลุ่มคนที่ไร้ตั๋วครูมาเป็นครูไม่ใช่เรื่องผิด เพราะตั้งแต่ปี 2558 ก็มีการเปิดทางให้ผู้ที่ไร้ตั๋วครูเข้ามาเป็นครูอยู่แล้ว แต่เฉพาะในสาขาที่ขาดแคลนและเป็นความต้องการของสถานศึกษา ทั้งที่ผ่านมาก็มีหน่วยงานต้นสังกัดเสนอคุรุสภาเพื่อขอให้ออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบวิชาชีพครูโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ถึงปีละ 20,000 กว่าคน บนเงื่อนไขเมื่อเข้ามาแล้วต้องพัฒนาตนเองด้วยการไปเรียนต่อ หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู หรือ ป.บัณฑิต เพื่อให้มีตั๋วครูตามหลักเกณฑ์ที่คุรุสภากำหนด เรามองว่าปัญหาเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้า มติ ก.ค.ศ. ไม่เปิดกว้างให้กลุ่มคนที่ไร้ตั๋วครูสมัครสอบบรรจุได้ทุกสาขาวิชา จนถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย และละเมิดสิทธิ์ นิสิต นักศึกษาครู โดยไม่มีงานวิจัยรองรับหรือการสอบถามความเห็นจากผู้ที่มีส่วนได้ ส่วนเสียโดยตรง แต่ที่น่าดีใจคือการที่ นพ.ธีระเกียรติ มองถึงความสำคัญในแก่นแท้ของการทำงานการศึกษาชาติ ที่ต้องการความร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่าย เพื่อเดินหน้าปฏิรูปการศึกษาอย่างไร้อาการสะดุด เรื่องเลยจบลงด้วยดีแบบวินวินกันทุกฝ่าย สยบปัญหาที่ส่อเค้าบานปลายกลายเป็นเรื่องการเมือง ที่ไม่ใช่แค่ส่งผลต่อเก้าอี้ รมว.ศึกษาธิการเท่านั้น แต่อาจสะเทือนถึงรัฐบาล!!! ทีมการศึกษา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
|