ยืดหยุ่น-4ทางเลือก : รมว.ศึกษาธิการปลื้มระบบจัดการศึกษา "บรูไน" ปูอนาคตชาติสู่เวทีโลก



“ผมได้เรียนรู้จากประเทศเล็ก”

บทสรุปสั้นๆจากการเยือน ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ของ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ใน
ฐานะ ประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asian Ministers of Education Council : SEAMEC Council) หรือ สภาซีเมค เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา

เป็นการสานต่อภารกิจในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จาก พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ องคมนตรีและอดีต รมว.ศึกษาธิการ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไทย จะดำรงตำแหน่งประธานซีเมควาระละ 2 ปี ระหว่างปี 2558-2560 หลังจากนี้ก็จะเยือนประเทศสมาชิกอื่นๆ และจะส่งมอบตำแหน่งต่อให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการอินโดนีเซีย

นอกจากจะมาเยือนในฐานะประธานซีเมคแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสนใจกับระบบการศึกษาของประเทศเล็กๆแต่อุดมไปด้วยน้ำมันนี้มาก

นพ.ธีระเกียรติ เกริ่นถึงภารกิจที่ได้รับมอบหมายว่า “นายกฯให้การบ้านผมมาข้อหนึ่งคือ ให้ผมมาเรียนรู้ระบบการศึกษา ของประเทศบรูไน ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง มีเส้นทางเดินให้เด็กมากมาย ซึ่งผมก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ทั้ง
ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดี ฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ ทั้งหารือข้อราชการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของบรูไน เยี่ยมเยือนและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยเทคนิคและอาชีวศึกษาของซีมีโอ หรือศูนย์ซีมีโอโวเทค รับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับระบบการศึกษา การพัฒนาและฝึกอบรมครูที่ มหาวิทยาลัยแห่งบรูไนดารุสซาลาม”

สำหรับนโยบายการศึกษาของประเทศบรูไนนั้น รัฐบาลบรูไนให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์และกำหนดเป็นวิสัยทัศน์หลักของประเทศ ภายใต้ แผนชาติ Brunei Vision 2035 คือ “การศึกษาที่มีคุณภาพ นำประเทศพัฒนาไปสู่สันติสุขและความมั่นคง” และในปี พ.ศ.2552 กระทรวงศึกษาธิการของบรูไน ได้ประกาศใช้ระบบการศึกษาแห่งชาติระบบใหม่ ภายใต้หลักการและปรัชญาจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในศาสนาอิสลามมลายู ที่เรียกว่า SPN 21 Sistem Pendidikan Negara Abad Ke 21 หรือ National Education System for the 21st Century มีเป้าหมายในการพัฒนาการศึกษาของประเทศให้เป็นเลิศในระดับโลก พร้อมแข่งขันในระบบสังคมและเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21

นพ.ธีระเกียรติ กล่าวสรุปภายหลังการเยือนว่า “ระบบการศึกษาของบรูไนมีความ ยืดหยุ่นตัวสูง มีเส้นทางเดินให้เด็กมาก เช่น เมื่อเด็กจบชั้นประถมปลาย หรือเทียบได้กับชั้น ป.6 ของประเทศไทย จะมี 4 เส้นทางให้เด็กเลือก คือ การศึกษาทั่วไป, สายอาชีพ, การศึกษาสำหรับเด็กความสามารถพิเศษ, การศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษด้านพัฒนาการต่างๆ จากนั้นเป็นการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ซึ่งสามารถที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหรืออาชีวศึกษา

...สิ่งสำคัญประการแรกคือ ผู้นำของประเทศทุกระดับ ให้ความสำคัญกับการศึกษาและทุ่มเททรัพยากรอย่างเต็มที่ รัฐมนตรีการศึกษาเปลี่ยนไม่บ่อย 30 ปีที่ผ่านมา มีเพียง 4 คนเท่านั้น นโยบายจึงมีความต่อเนื่อง ดึงผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษา ใช้คนเก่งที่สุดมาจัดการศึกษา เจ้าหน้าที่รัฐตั้งแต่ระดับปลัดกระทรวงลงมา คือ คนหนุ่มสาวที่มีไฟแรง กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ ทั้งพร้อมรับการตรวจสอบ โดยปีหน้าบรูไนจะเข้ารับการทดสอบ PISA เป็นครั้งแรก...

...ส่วนการทำงานของกระทรวงศึกษาธิการ วางนโยบายเพียง 10% ที่เหลืออีก 90% คือการปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรม แผนทั้งหมดที่วางไว้ ไม่มีความสำคัญเลยหากปฏิบัติไม่ได้ ผมว่าเรื่องนโยบายทุกประเทศทราบดีว่าต้องทำอย่างไร ถ้าเรารู้ว่าอะไรควรทำ ก็ต้องทำให้เป็นรูปธรรม และลงไปติดตามในสิ่งที่เราทำ ถ้าผิดก็แก้ไข ยุคผมเรื่องงานต้องตัดสินใจเร็ว ผิดก็แก้ไขได้...

...ส่วนระบบการผลิตครู ที่นี่ครูทุกคนจบปริญญาโท โดยฝึกสอนในโรงเรียน 4 วันต่อสัปดาห์กับครูพี่เลี้ยงที่เป็นครูในโรงเรียน และใช้เวลาอีก 2 วันเรียนรู้ทฤษฎีในมหาวิทยาลัย ขบคิดปัญหาอย่างลึกซึ้ง ตรวจสอบกับอาจารย์ว่าทฤษฎีกับปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ซึ่งผมว่าการฝึกหัดครูของบรูไนมาถูกทาง เรื่องการอาชีวศึกษาที่นี่
มีปัญหาคนไม่นิยมเรียนสายอาชีพเช่นกัน ก็มีการส่งเสริมทุกด้านทั้งให้ทุนการศึกษา ดึงภาคเอกชนร่วมจัดการศึกษา โดยที่รัฐให้การสนับสนุนที่น่าสนใจคือ ที่นี่มีตัวชี้วัดเพียง 3 ตัวเท่านั้น คือ จำนวนนักเรียนเข้าเรียน จำนวนผู้เรียนจบ และจำนวนผู้จบแล้วมีงานทำ ซึ่งผมอยากให้ทุกองค์กรมีตัวชี้วัดแค่ 3 ตัว ไม่ใช่ 150 ตัวชี้วัดอย่างที่เป็นอยู่”

รมว.ศึกษาธิการ ยังได้กล่าวในตอนท้ายด้วยว่า “ผมทำนายว่าบรูไนเข้าทดสอบ PISA ครั้งนี้ และต่อไปข้างหน้า เขาจะเป็นเสือของซีมีโอ กล้าที่จะยอมรับผลการประเมินโดยนานาชาติ ซึ่งผมคิดว่าน่าชมเชยบรูไน ตอนนี้วิธีคิดของบรูไนอยู่ในระดับเดียวกับสิงคโปร์และมาเลเซีย ถ้าเราไม่ทำอะไร เราก็จะอยู่แบบเดิมๆ ผมทำนายว่าเราก็คงยังอยู่แบบเดิม เพราะที่ผมพูดไปวันนี้คงไม่มีผลอะไร”

“ทีมการศึกษา” ขอเอาใจช่วยในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านงานการศึกษาของประเทศไทย บรรลุเป้าหมายเพื่อสร้างเยาวชนไทยในภาพรวม ให้มีศักยภาพและความสามารถทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ

แต่สิ่งที่เราอดห่วงไม่ได้และคงต้องฝากระดับผู้บริหารประเทศไว้ คือ ความต่อเนื่องในงานการศึกษาชาติ เนื่องจากงานการศึกษาเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลากว่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรม และที่สำคัญเหนืออื่นใดคือการต้องมีความจริงใจและจริงจังทั้งในส่วนของนโยบายและการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

เพราะการสร้างเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาตินั้น แม้จะมีผลสัมฤทธิ์เพียงน้อยนิด แต่ก็ดีกว่าการไม่ลงมือทำอะไรเลย.

ทีมการศึกษา

ที่มา : นสพ.ไทยรัฐ


โพสเมื่อ : 23 ก.พ. 60   อ่าน 1314 ครั้ง      คำค้นหา :