"สุรวาท"ต้านเกณฑ์ประเมินPA หวั่นแม่พิมพ์ทิ้งห้องเรียน-จ้างทำผลงาน อดีตปธ.คุรุสภาติดใจให้น.ร.เสนอชื
'สุรวาท'ต้านเกณฑ์ประเมินPA หวั่นแม่พิมพ์ทิ้งห้องเรียน-จ้างทำผลงาน อดีตปธ.คุรุสภาติดใจให้น.ร.เสนอชื่อครู
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน นายไพฑูรย์ สินลารัตน์ อดีตประธานกรรมการคุรุสภา
เปิดเผยถึงกรณีที่คณะอนุกรรมการวิสามัญเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์และ
วิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็น
วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ และวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ตามข้อตกลงในการพัฒนางาน หรือ
Performance Agreement (PA) เห็นชอบเรื่องการทำเอกสารรวบรวมผลงานครู หรือ
PA เพื่อขอวิทยฐานะ โดยเสนอให้ครูทำเป็นกิจวัตรตั้งแต่เริ่มเป็นครู
รวมถึงมีแนวคิดว่าครูไม่จำเป็นต้องเสนอขอด้วยตัวเอง อาจเป็นบุคคลอื่น เช่น
ผู้บังคับบัญชาหรือนักเรียนเห็นผลงานและเสนอชื่อให้ก็ได้ว่า
การเสนอเกณฑ์ในรอบหลังๆ
ที่ผ่านมามีแนวโน้มที่จะเป็นวิทยฐานะทางวิชาการมากขึ้น
แต่กระบวนการและขั้นตอนในขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน อาทิ
การทำเอกสารรวบรวมผลงานครู หรือ PA ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าให้รวบรวมผลงานอะไร
หากเป็นการรวบรวมผลงานประจำวัน
ก็คาดว่าน่าจะไม่มีผลอะไรเพราะเป็นเรื่องของงานประจำที่ครูต้องทำอยู่ทุกวัน
แต่ถ้ารวบรวมความรู้ งานวิจัยด้านวิชาการ หรือเทคนิคการสอนใหม่ๆ
ก็ถือว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดี
เพราะเป็นการเพิ่มความรู้ความสามารถทางวิชาการของครู
นายไพฑูรย์กล่าวต่อว่า
ส่วนแนวคิดที่จะให้บุคคลอื่นอย่างผู้บังคับบัญชาหรือนักเรียนสามารถเสนอชื่อ
ครูแทนนั้น เห็นด้วยและมองว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
เพราะผู้บังคับบัญชามีความใกล้ชิดกับครู
เห็นความสามารถในการทำงานของครูแต่ละคนได้อย่างชัดเจน
แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมอีกครั้งหนึ่ง เช่น
ผลงานทางวิชาการที่ผู้บริหารอาจไม่สามารถตรวจสอบได้นั้น
ก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยดูแล ซึ่งต้องมีการจัดระบบให้ดี
เน้นที่ความสามารถของครูโดยตรง ส่วนที่จะให้นักเรียนสามารถขอแทนได้ด้วยนั้น
ไม่แน่ใจว่าจะเหมาะสมหรือไม่
"สิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้
คือการทำความเข้าใจเรื่องวิทยฐานะกับทุกฝ่ายให้ชัดเจนและตรงกัน
หลายคนยังคิดว่าวิทยฐานะเป็นแค่เรื่องที่เกี่ยวกับงานประจำของครู เช่น
งานสอน แต่แท้จริงแล้ววิทยฐานะเป็นฐานะทางวิชาการของครู ดังนั้น
เกณฑ์วิทยฐานะควรจะทำให้ครูรู้สึกว่าได้พัฒนาความรู้ทางวิชาการของตัวเองให้
เข้มแข็ง และสามารถนำไปต่อยอดในการเรียนการสอนได้อย่างสมบูรณ์"
นายไพฑูรย์กล่าว
นายสุรวาท ทองบุ คณบดีคณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม
ในฐานะประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.)
กล่าวว่า การรวบรวมผลงาน หรือ PA
เพื่อขอวิทยฐานะโดยให้ครูทำเป็นกิจวัตรตั้งแต่เริ่มเป็นครู
อย่างครูที่จะขอวิทยฐานะระดับชำนาญการจะมีเวลารวบรวมผลงานถึง 8 ปี
มองว่ายังไม่ตอบโจทย์ ผลงาน ครูควรดูทีละขั้นตอน ดูกันเป็นรายปี
เพราะหากดูแค่เอกสารเมื่อถึงกำหนดเวลา
ก็จะทิ้งห้องเรียนและจ้างทำผลงานทางวิชาการอย่างที่เคยเกิดขึ้น
อย่างประเทศฟินแลนด์ ไม่มีการสร้างผลงานเพื่อวิทยฐานะ
แต่วิเคราะห์และประเมินผลงานครูแบบปีต่อปี เรื่องไหนที่มีปัญหา
ก็ช่วยแก้กันไปเป็นเรื่องๆ
โดยพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อคุณภาพการเรียนการสอนของครูอย่างแท้จริง
นายสุรวาทกล่าวต่อว่า การใช้ผลคะแนนทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน
(โอเน็ต) ของนักเรียน มายื่นขอวิทยฐานะครู ก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
การพิจารณาความสำเร็จของครูไม่สามารถวัดได้จากผลสัมฤทธิ์จากการสอบของนัก
เรียน เพราะเด็กนักเรียน โรงเรียน และชุมชนในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน
ต้องพิจารณาปัจจัยหลายๆ ด้าน แม้ว่าครูจะเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการศึกษา
แต่คุณภาพของเด็กไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ครูเพียงอย่างเดียว รวมไปถึงการสอบโอเน็ต
ก็เป็นการสอบที่ไม่สามารถวิเคราะห์ทักษะเด็กได้ทุกด้านเช่นกัน
"ควรมอบความรับผิดชอบให้ทุกฝ่ายในการดูแลเรื่องวิทยฐานะ
ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ผู้อำนวยการเขตพื้นที่ฯ
ผู้อำนวยการโรงเรียน ที่จะต้องดูที่ความก้าวหน้า
ไม่ใช่ดูที่ผลแล้วไปเทียบกับค่าเฉลี่ยกลาง
วันนี้ประเทศไทยยังมีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามาก
โรงเรียนที่เด็กเก่งอยู่แล้ว ครูก็แทบไม่ต้องทำอะไร อย่าเอาคะแนนมาตัดสิน
รวมถึงเรื่องผลงานที่ไม่ต้องรอถึง 8 ปี แต่ควรดูทุกปีที่ทำ
ดูความรับผิดชอบร่วมกันไม่ใช่เฉพาะครู
เพราะการวัดวิทยฐานะควรมองอย่างรอบด้านในเรื่องการพัฒนา เช่น
นับจำนวนเด็กที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ว่ามีกี่คน
แล้วครูวางแผนว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร
หากทำได้ก็น่าจะได้รับรางวัลด้วยการเลื่อนวิทยฐานะ
แต่หากวัดด้วยคะแนนสอบของเด็ก
ก็อาจจะส่งผลให้ครูมุ่งเน้นการเรียนการสอนเพื่อคะแนนสอบเพียงอย่างเดียว"
นายสุรวาทกล่าว
นายปรเมษฐ์ โมลี ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กล่าวว่า การจะให้ครูมีวิทยฐานะที่สูงขึ้น
ควรดูที่ผลสัมฤทธิ์และความสำเร็จของนักเรียนเป็นหลัก
เน้นการพัฒนาให้เด็กมีองค์ประกอบ 3 ข้อ ได้แก่
1.นักเรียนมีความรู้ความสามารถตามที่หลักสูตรกำหนด
2.มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ เป็นคนดี มีวินัย และ 3.มีทักษะชีวิต
หากครูสามารถแสดงให้เห็นถึงกระบวนการสอนที่ทำให้นักเรียนประสบความสำเร็จ
มีศักยภาพเพิ่มขึ้นได้ ก็ควรเพิ่มวิทยฐานะให้ครู ทั้งนี้
มองว่าหลักเกณฑ์และวิธีการเป็นเพียงเรื่องปลีกย่อย
ที่มา มติชน วันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 |
โพสเมื่อ :
18 พ.ย. 58
อ่าน 1324 ครั้ง คำค้นหา :
|
|