ย้ำสอบ “โอเน็ต” ต้องไม่เหลื่อมล้ำ



ได้เห็นหลายเรื่องที่สะท้อนการเรียนการสอนในช่วงการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ซึ่งก็มีบางเรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะต้องนำกลับไปปรับปรุงแก้ไข เช่น การเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 และการเตรียมความพร้อมของนักเรียนในช่วงวิกฤติ เป็นต้น

เมื่อวันที่ 14 ส.ค. เวลา 08.00 น. ที่โรงเรียนสตรีวิทยา นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการทดลองเปิดเรียน 100% เต็มรูปแบบในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ก่อนให้สัมภาษณ์ภายหลังการตรวจเยี่ยม ว่า ได้เห็นหลายเรื่องที่สะท้อนการเรียนการสอนในช่วงการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ซึ่งก็มีบางเรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะต้องนำกลับไปปรับปรุงแก้ไข เช่น การเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 และการเตรียมความพร้อมของนักเรียนในช่วงวิกฤติ เป็นต้น โดยในช่วงระยะเวลา 1 เดือน ที่ผ่านมาของการเปิดภาคเรียนด้วยวิธีการสลับวันเรียนก่อนการทดลองเปิดเรียนเต็มรูปแบบเราได้เตรียมความพร้อมมาตรการต่างๆ ร่วมกับโรงเรียน ครู นักเรียน และผู้ปกครอง หากมีการระบาดของโรคเกิดขึ้นในรอบสองจะมีมาตรการใดรองรับบ้าง นอกจากนี้อยากให้โรงเรียนได้ทำการบันทึกข้อมูลนักเรียนด้วยว่าเด็กเลิกเรียนแล้วไปทำอะไรที่ไหนอย่างไรบ้าง เพื่อป้องกันและติดตามแหล่งสถานที่ว่าเด็กไปที่ไหนบ้าง หากมีความเสี่ยงเกิดโรคจะได้เข้าควบคุมพื้นที่นั้นๆได้

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า ส่วนการวัดผลและประเมินผลของนักเรียน โดยเฉพาะการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ตนั้น ตนเข้าใจเรื่องนี้ และกำลังหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือถึงความเหมาะสมในการสอบโอเน็ต เพราะการสอบโอเน็ตปีนี้มีความเหลื่อมล้ำอย่างแน่นอน เนื่องจากเกิดวิกฤติโรคระบาดส่งผลให้การเรียนการสอนทำได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร ดังนั้นจะมีการหารือกับสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ว่าจะทำอย่างไรเรื่องการสอบโอเน็ตเฉพาะในปีการศึกษานี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับเด็กทุกคน ทั้งนี้การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในสัปดาห์หน้าตนจะนำผลการทดลองเปิดเรียนเต็มรูปแบบนี้มาเป็นองค์ประกอบใช้ตัดสินใจในการทำกิจกรรมต่างๆที่รวมกลุ่มกันมากขึ้น

“ผมเห็นเรื่องที่มีความสำคัญมากหลังจากการตรวจเยี่ยมโรงเรียนครั้งนี้ คือ โรงเรียนมีการแขวนบทเรียนไว้บนระบบออนไลน์ทำให้นักเรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น ในเวลาหนึ่งเวลาใดที่เด็กต้องการจะค้นคว้าก็สามารถเข้าไปหาข้อมูลได้ ดังนั้นผมคิดว่าการดำเนินการในลักษณะเช่นนี้ถือเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างการเรียนออนไลน์ และการเรียนในห้องเรียน เพื่อปรับตัวสู่การศึกษาในอนาคตแม้ประเทศจะต้องเจอกับวิกฤติโรคระบาดขึ้นอีก แต่การเรียนของนักเรียนก็จะไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเรียนได้” นายณัฏฐพลกล่าว.

ที่มา : นสพ.ไทยรัฐ


โพสเมื่อ : 17 ส.ค. 63   อ่าน 1279 ครั้ง      คำค้นหา :