นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
มอบนโยบายในการประชุมสัมมนาผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ
ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 ณ โรงแรมปรินซ์พาเลซ
มหานาค โดยมีผู้บริหารระดับสูงสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษาทั่วประเทศ
เข้าร่วมรับฟังและประชุมสัมมนาครั้งนี้จำนวน 327 คน

•
รมว.ศธ."นพ.ธีระเกียรติ
เจริญเศรษฐศิลป์" มอบนโยบาย Active Learning
และการอบรมพัฒนาตามความต้องการเพื่อเชื่อมโยงกับการประเมินวิทยฐานะ
-
Active Learning
:
นพ.ธีระเกียรติ กล่าวว่า
ช่วงปี
2543 (ค.ศ.2000)
ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยเริ่มมีการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ของประเทศ
และเป็นปีที่ไทยเข้าร่วม PISA
แต่วันนั้นจนถึงวันนี้ คะแนนผลการทดสอบ PISA
ของไทยถือว่าเกือบจะเท่ากันตลอด
ไม่เพิ่มขึ้นเลย ซึ่งผลวิเคราะห์ทำให้เห็นชัดเจนว่าอันดับของเด็กไทยอายุ 15
ปีที่เข้ารับการทดสอบ PISA ยังคงอยู่ห่างจากสิงคโปร์ 5
ชั้นปี นอกจากนี้ ข้อมูลการสอบ
PISA ในช่วงเวลา 16 ปีที่ผ่านมาก็พบด้วยว่า
เด็กที่ติดอันดับสูงสุดของไทย 10% ได้คะแนนเฉลี่ยเกือบ 550 คะแนน
แต่เด็กที่อ่อนที่สุดได้คะแนนเฉลี่ย 350 คะแนน
ซึ่งเท่ากับว่าเราห่างกันเอง 200 คะแนน มากกว่าเราห่างจากสิงคโปร์
สะท้อนให้เห็นว่าทิศทาง 16
ปีที่ผ่านมา วิธีการและการลงทุนในการปฏิรูปการศึกษาด้านต่าง ๆ
ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม
เมื่อวิเคราะห์กลุ่มโรงเรียนที่เข้ารับการทดสอบ PISA
ของไทย พบว่าโรงเรียนสังกัด กทม.
ได้คะแนนต่ำที่สุด ถัดมาตามลำดับคือ อบต./อบจ.,โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา,
โรงเรียนเอกชน, โรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วไป, โรงเรียนสาธิต
จนถึงกลุ่มที่ได้คะแนนสูงที่สุดซึ่งเป็นกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์ คือ
จุฬาภรณราชวิทยาลัย และมหิดลวิทยานุสรณ์, ส่วนคะแนนการสอบของโรงเรียนขยายโอกาสฯ
ทำให้เห็นว่าไม่ได้มีคุณภาพต่ำไปกว่าโรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วไป
แต่ที่ต้องให้ความสนใจที่จะต้องดูแล คือ โรงเรียนเอกชน
เพราะรับผิดชอบดูแลเด็กนักเรียนกว่า 2 ล้านคน
ถัดมาคือ กทม.ซึ่งมีคะแนนไม่ถึง 400
และแทบไม่มีดาวเด่นเลย ก็จะได้มีการหารือและการทำงานร่วมกับ กทม. ต่อไป
สิ่งเหล่านี้
เป็นความจำเป็นที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความสนใจในการ "ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา"
กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและการจัดสรรทรัพยากรให้แก่โรงเรียน
ICU ซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและอยู่ในระดับล่างสุด แต่ในขณะเดียวกันเวียดนามซึ่งได้อันดับ PISA
ล่าสุดติดอันดับต้นของโลก ก็ทำให้เห็นความจริงที่ว่า
"ความยากจนไม่จำเป็นจะต้องเป็นชะตากรรม" เพราะเด็กยากจนที่สุดของเวียดนามสามารถเอาชนะเด็กที่มีความพร้อมหรือเด็กรวยที่สุดของ
OECD ซึ่งอยู่ในกลุ่มประเทศยุโรปได้
ทำให้เห็นบทเรียนที่สำคัญของเวียดนามที่ประสบความสำเร็จ คือ
การส่งเสริมให้เด็กอยากที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น Active Learning
จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากต่อความสำเร็จดังกล่าว
และในการปฏิรูปการศึกษา ครูผู้สอนจำเป็นต้องเป็นครูแบบ
Actively Teach คือ ครูไม่ได้ยัดเยียดในการสอน
แต่จะทำอย่างไรให้เด็กนักเรียนอยากเรียนหนังสือ
ซึ่งถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จต่อคุณภาพการเรียนการสอน

-
การอบรมพัฒนาตามความต้องการเพื่อเชื่อมโยงกับการประเมินวิทยฐานะ
:
นพ.ธีระเกียรติ กล่าวว่า
กระทรวงศึกษาธิการมีการดำเนินนโยบายที่สำคัญเกี่ยวกับครูในเวลานี้ คือ
"การพัฒนาครูเพื่อเชื่อมโยงกับวิทยฐานะ" ซึ่งแนวดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์การประเมินเพื่อมีหรือเลื่อนวิทยฐานะของครู
ก็เป็นการน้อมนำตามพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9
ที่ไม่ต้องการให้ครูเลื่อนวิทยฐานะจากการจัดทำเอกสารผลงานทางวิชาการ
หรือเอกสารในรูปแบบวิทยานิพนธ์
โดยหลักเกณฑ์ใหม่จะยกเลิกการจัดทำผลงานทางวิชาการ รวมทั้งเกณฑ์
PA ด้วย เพราะที่ผ่านมาเราไปตีความเอาเองว่าครูต้องทำผลงานทางวิชาการในลักษณะนี้
ส่วนการยกเลิกเกณฑ์ PA นักวิชาการเห็นด้วยว่าคนเก่งอาจจะไม่มี Performance มากก็ได้
เช่นเดียวกับผู้ที่ทำงานในสาขาอาชีพอื่น เช่น แพทย์เก่ง ๆ แต่ไม่ยอมผ่าตัด หรือครูเก่ง ๆ
แต่ไม่ยอมสอนหนังสือ ก็ถือว่าไม่มีผลงาน
เพราะฉะนั้นเราจึงยกเลิกผลงานเชิงประจักษ์ แต่จะให้ความสำคัญกับ
"ระยะเวลา" ในการทำงานสั่งสมความชำนาญการในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ เพื่อจะเลื่อนวิทยฐานะขึ้นไปในระดับที่สูงขึ้น
เหมือนกับนักบินที่ต้องมีการสั่งสมชั่วโมงบิน
หลักการให้วิทยฐานะที่สูงขึ้น
จึงเป็นเรื่องของความเก่ง และระยะเวลาที่สั่งสม เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์จะสอนเก่งขึ้นตามช่วงเวลา
ดังนั้น
ในการประเมินวิทยฐานะจึงจะกำหนดทั้ง "ระยะเวลาการสอน" และ
"การอบรมพัฒนาด้วยตนเอง" ให้มีความเชื่อมโยงกัน
โดยครูผู้ช่วยจะทำงาน 2 ปี ก่อนที่จะก้าวเป็นชำนาญการ
จากนั้นจะใช้เวลา 5 ปีเพื่อขอเลื่อนเป็นชำนาญการพิเศษ
และหากจะขอเลื่อนไปในระดับเชี่ยวชาญจะต้องรออีก 5 ปี
จากนั้นหากจะไปจนถึงระดับเชี่ยวชาญพิเศษ ต้องรออีก 5 ปี
ซึ่งเป็นเวลาที่ใช้เวลาไม่นานในการที่จะก้าวจากชำนาญการ-เชี่ยวชาญพิเศษ
โดยใช้เวลาเพียง 20 ปีเท่านั้น
ก็มีสิทธิ์ได้รับวิทยฐานะระดับสูงสุดเช่นเดียวกับศาสตราจารย์
และการประเมินวิทยฐานะไม่ต้องมีวิธี Fast
Track ใด ๆ เพียงแต่ครูทุกคนจะมี
e-Portfolio ล็อกเข้าระบบด้วยตนเองว่าต้องสอนกี่ชั่วโมงตามเกณฑ์ขั้นต่ำ
โดยมีผู้บริหารโรงเรียนเป็นผู้รับรอง (Sign Off)
แต่หากระบบสุ่มเจอว่ามีการโกหกในการกรอกข้อมูลอันเป็นเท็จ ครูรายนั้นจะถูกลดไปเริ่มต้นวิทยฐานะใหม่
และครู-ผู้บริหารก็จะถูกแจ้งความอันเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช.ด้วย ดังนั้น
จึงไม่กังวลระบบการตรวจสอบมากมายและใช้คนมาประเมินเป็นการสิ้นเปลืองระยะเวลาและงบประมาณ
สำหรับชั่วโมงสอนของครู
หากเป็นครูชำนาญการอาจจะต้องสอนขั้นต่ำ 800 ชั่วโมงต่อปี
เพราะฉะนั้นเมื่อครูชำนาญการสอนครบ 5 ปี ก็จะมีจำนวนชั่วโมงสอนเป็น 4,000
ชั่วโมง และเมื่อเป็นครูชำนาญการพิเศษก็จะสะสมชั่วโมงสอนได้ 8,000
ชั่วโมง และจะมีวิธีการพัฒนาแบบ
Professional Learning Community (PLC) หรือวิธีการพัฒนาครูโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน
ซึ่งก็คือการรวมตัว รวมใจ รวมพลัง ร่วมมือกันของครู ผู้บริหาร
และนักการศึกษา ในโรงเรียน เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญ
ระบบนี้จะทำให้กระทรวงศึกษาธิการทราบข้อมูลล่วงหน้าด้วยว่า ภายใน 5
ปีข้างหน้าจะมีจำนวนครูที่จะได้เลื่อนวิทยฐานะเท่าใด
เพื่อวางแผนการใช้จ่ายงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ส่วนการประเมินสำหรับสายผู้บริหารหรือผู้อำนวยการ
(Director)
ต่อไปจะไม่มีนักบริหารวิทยฐานะชำนาญการ-ชำนาญการพิเศษ-เชี่ยวชาญ-เชี่ยวชาญพิเศษอีกแล้ว
แต่จะเปลี่ยนวิธีการตอบแทนให้เป็นการจ่ายค่าตอบแทนแบบอำนวยการหรืออำนวยการสูง
ซึ่งเป็นคนละเส้นทางกับวิทยฐานะครู
เพราะงานบริหารควรจ่ายค่าตอบแทนแบบนักบริหาร
นอกจากระยะเวลาการสอนแล้ว ระบบการปฏิรูปพัฒนาครูครบวงจรแบบใหม่นี้
จะให้ครูได้รับการอบรมพัฒนาตามความต้องการของตนเอง
หรือครูสามารถ Shopping
หลักสูตรการอบรมด้วยตนเองตามความเหมาะสมในการเลื่อนวิทยฐานะของตนเอง
โดยจะผ่านการรับรองของสำนักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะเป็นหลักในการดำเนินการเรื่องนี้
ซึ่งอาจจะแจกเป็นคูปองพัฒนาครูให้รายละ 10,000 บาทต่อปี
เพื่อนำไปใช้จ่ายเป็นค่าอบรมพัฒนา รวมทั้งค่าเดินทางต่าง ๆ ด้วยตนเอง
วิธีการเช่นนี้จะทำให้กระจายลงไปในระดับพื้นที่
และจะมีเงินเหลือนำไปพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนทุกระดับ
โดยเฉพาะโรงเรียน ICU ได้เป็นจำนวนมาก
และหากมีเงินเหลือมากขึ้น ปีต่อไปอาจจะเพิ่มคูปองพัฒนาครูมากกว่า 10,000
บาท แต่จะไม่มีระบบการ Transfer
โควตาอบรมของตนเองไปให้ครูคนอื่น
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ถือเป็นระบบการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของประเทศในการ
"ปฏิรูปการพัฒนาครูครบวงจร" อย่างแท้จริง

•
รมช.ศธ."ม.ล.ปนัดดา
ดิศกุล" มอบนโยบายโรงเรียนคุณธรรม
ม.ล.ปนัดดา
กล่าวว่า
ประเด็นที่จะมาขอความอนุเคราะห์ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้รับทราบและช่วยกรุณาให้งานเดินหน้า
2 เรื่อง คือ
-
การปรับกรอบการทำงานใหม่ของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.)
:
ให้มีศึกษาธิการจังหวัด
และศึกษาธิการภาคเกิดขึ้น
เพื่อไม่ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต
1 ซึ่งต้องทำหน้าที่เป็นศึกษาธิการจังหวัดและเป็นเลขานุการ
กศจ. ด้วยนั้น ทำให้การทำงานที่ผ่านมายังไม่ได้ผลเท่าที่ควร
เพราะมีภาระงานจำนวนมาก หลายจังหวัดต้องจัดประชุม กศจ.ในวันหยุดราชการ
ดังนั้น
คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค
ซึ่งมี รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน จะประชุมพิจารณาในเรื่องนี้โดยเร็ว
และคาดว่าหากมีความจำเป็นอาจจะต้องใช้มาตรา 44
เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
-
โรงเรียนคุณธรรม
:
จากการที่ได้เดินทางไปพบปะและตรวจเยี่ยมสถานศึกษาต่าง ๆ
ในต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ
ทำให้เห็นว่าทุกโรงเรียนได้ปฏิบัติตามแนวทางโรงเรียนคุณธรรมอยู่แล้ว
เพราะถือเป็นวาระสำคัญของชาติอันดับแรกที่จะนำพาความเชื่อมั่นศรัทธาต่ออนาคตของประเทศชาติ
โดยให้ความสำคัญในเรื่องการสืบสานพระราชปณิธานเดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10
จึงขอความอนุเคราะห์ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกท่าน
ช่วยกรุณาให้งานนี้เดินหน้า ซึ่งขณะนี้ได้กำหนด
"กรอบแนวคิดที่สำคัญของโรงเรียนคุณธรรม 5 ด้าน"
ที่มีความเชื่อมโยงกันในทุกมิติ
และถือเป็นการสร้างให้นักเรียนมีคุณธรรมนำความรู้
ดังนี้
-
ความพอเพียง:
ดำรงชีวิตด้วยความพอเพียง ประหยัด ไม่ฟุ้งเฟ้อ รู้จักความพอดีพอเหมาะ
และใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย -
ความกตัญญู:
เป็นพื้นฐานด้านคุณธรรมของทุกคน และเป็นสัญลักษณ์ของคนดี
เราจึงต้องมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ซึ่งเปรียบเสมือนพระในบ้าน
และกตัญญูต่อครูอาจารย์ซึ่งเปรียบเสมือนพระที่โรงเรียน -
ความซื่อสัตย์สุจริตสร้างชาติ:
ความซื่อสัตย์เป็นพื้นฐานสำคัญในการดำรงชีวิต ไม่มีไม่ได้
อีกทั้งการซื่อสัตย์คือการไม่สร้างภาพ ไม่เล่นละครหรือสวมหัวโขน
แต่คำพูดหรือการกระทำทุกอย่างควรมาจากใจ -
ความรับผิดชอบ:
ทุกคนต้องมีความรับผิดชอบซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเจริญสัมมาชีพต่อไปในวันข้างหน้า
ขอให้ยึดมั่นกฎกติกาในการทำงานอย่างเสมอต้นเสมอปลาย คงเส้นคงวาในความดี
ปากตรงกับใจ และอย่าหลงลืมตัว -
คุณธรรมจริยธรรม:
การยึดมั่นคุณธรรมจริยธรรมเป็นเรื่องสำคัญ
และต้องดำรงตนให้เป็นแบบอย่างของสังคม
นอกจากนี้ ได้กำหนด
"ตัวชี้วัดโรงเรียนคุณธรรม 7
ข้อ" ดังนี้
-
มีอุดมการณ์คุณธรรม
ต่อการพัฒนาในโรงเรียนคุณธรรม -
มีกลไกและเครื่องมือในการปฏิบัติคุณธรรมจริยธรรมร่วมกันทั้งโรงเรียน -
มีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ มีคุณธรรม
จริยธรรม ความพอเพียง ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ สุจริต อดทน
และเสียสละในโรงเรียนเพิ่มมากขึ้น -
พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ลดน้อยลง -
มีกระบวนการมีส่วนร่วม
และสร้างความรับผิดชอบจากผู้เกี่ยวข้องในโรงเรียน -
มีองค์ความรู้ นวัตกรรมด้านคุณธรรม และบูรณาการร่วมกันไว้ในชั้นเรียน -
เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านคุณธรรม

อย่างไรก็ตาม
กรอบแนวคิดและตัวชี้วัดโรงเรียนคุณธรรม
อาจจะมีการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมถ้อยคำบางส่วนให้มีความสมบูรณ์
จากนั้นกระทรวงศึกษาธิการจะได้แจ้งผ่านทาง กศจ.ทุกจังหวัด
ได้ร่วมกันขับเคลื่อนต่อไป
บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
28/2/2560 |