ศธ.เดินหน้าต่อ ล้างสารพัดโกง หลายโครงการ

ศธ.เดินหน้าสางสารพัดโกงในกระทรวง คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงทุจริตเงินกองทุนเสมาฯตรวจพบผู้เกี่ยวข้องเป็นข้าราชการระดับสูงตั้งแต่ซี 8-11 ปลัด ศธ.ร่อนหนังสือขอคำแนะนำ ก.พ. ก่อนเสนอเจ้ากระทรวงลงดาบเชือด สรุปความเสียหายเหลือ 19 ล้านบาท ประสาน ปปง.ตามเงินที่ถูกยักยอกคืน ส่วนการส่อทุจริตใน สพป.พื้นที่ภาคอีสาน ที่ปรึกษา รมว.ศธ.ประสาน ปปง.เช็กเส้นทางการเงินหาหลักฐานฟันวินัยร้ายแรง พร้อมส่งต่อข้อมูลให้ ป.ป.ท.ร่วมไล่เบี้ย ด้าน ผอ.โรงเรียนที่สุราษฎร์ฯงาบงบอาหารกลางวันให้เด็กนักเรียนกินขนมจีนคลุกน้ำปลา ผวจ.สั่ง ผอ.สพป.ต้นสังกัดชี้แจงด่วนเพื่อพิจารณาความบกพร่อง พร้อมวางมาตรการป้องกันเรื่องฉาวซ้ำรอย

ความคืบหน้าการสางทุจริตในกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยความคืบหน้าการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตว่า นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ มอบหมายให้ตนมาพิจารณาสำนวนการสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย ได้มอบหมายให้นิติกรตรวจสอบสำนวนแล้วพบว่าเนื่องจากมีผู้เกี่ยวข้องเป็นข้าราชการตั้งแต่ระดับ 8-11 และอยู่ในหลายสังกัด แบ่งเป็นหลายกลุ่มคือ ระดับ 11 รัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณา มีทั้งในกระทรวงศึกษาธิการและสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะที่ระดับ 8-10 เป็นอำนาจของผู้บริหารองค์กรหลักใน 2 องค์กร จึงขอหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เพื่อพิจารณาให้คำแนะนำ หากได้รับคำตอบจากสำนักงาน ก.พ. ตนจะเร่งพิจารณาและนำเสนอ รมว.ศึกษาธิการ ต่อไป

“ผมจะเดินทางไปหารือกับสำนักงาน ก.พ.และกระทรวงการคลังด้วยตัวเอง เพื่อให้การดำเนินการเสร็จสิ้นโดยเร็ว ส่วนการเอาผิดฐานละเมิดนั้นอยู่ระหว่างทาบทามกรรมการ ขณะที่การเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบกำลังรอคำตอบจากกระทรวงการคลังว่าสามารถนำเงินดอกเบี้ยกองทุนไปเยียวยาได้หรือไม่” ปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าว

นายอรรถพล ตรึกตรอง ผู้ตรวจราชการกระทรวง ศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการได้สรุปความเสียหายทั้งหมด มีทั้งจำนวนเงินที่ต้องเรียกเงินคืนจากวิทยาลัยพยาบาล 5 แห่ง โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 1 แห่ง ที่ตรวจสอบพบว่ามีการโอนเงินเกินกว่า 1 ล้านบาท และส่วนที่กองทุนฯจะต้องโอนชดเชยให้กับกลุ่มนักเรียนที่ไม่ได้รับเงินจากกองทุนฯอีกเกือบ 19 ล้านบาท จากนี้จะเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯพิจารณาเยียวยาต่อไป

ด้าน พ.ต.ต.พีระพล ยอดสนิท ผู้อำนวยการกองคดี 4 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องทุจริตในหน่วยงาน ปปง.เข้ามาตรวจสอบเพื่อจะติดตามทรัพย์ที่ถูกยักยอกไปกลับมาคืน ศธ.ให้ได้มากที่สุด ปปง.มีข้อมูลในรายละเอียดเชิงลึกแล้ว แต่ขอไม่เปิดเผย

สำหรับความคืบหน้าการส่อทุจริตในเขตพื้นที่การศึกษาทางภาคอีสาน ในสังกัดสำนักงานคณะ กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ได้รับรายงานจาก ผอ.สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติกร (สพร.) สพฐ. ว่า ในส่วนของ สพป.นครราชสีมา เขต 5 ที่มีการวางฎีกาเบิกเงินซ้ำซ้อนกับโรงเรียน ได้มีการย้าย ผอ.สพป.นครราชสีมา เขต 5 มาอยู่ที่ สพป.ชัยภูมิ แต่ตนไม่เห็นด้วยเพราะมีความผิดชัดเจน อย่างน้อยต้องให้มาประจำที่ สพฐ. หรือไม่ก็ต้องให้ออกจากราชการไว้ก่อน ขณะที่ ผอ.สพป.บุรีรัมย์ เขต 2 ที่ถูกร้องเรียนตกเขียวโดยเรียกรับเงินเปอร์เซ็นต์จากโรงเรียนก็ถูกโยกย้ายแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 กรณีได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงแล้ว โดยมีนายสนิท แย้มเกสร ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ.เป็นประธาน

พล.ท.โกศลกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เขตพื้นที่ 3 ซึ่งดูแลจังหวัดในพื้นที่เขตอีสานใต้ โทรศัพท์ติดต่อมายังตนเพื่อขอข้อมูล เนื่องจากเลขาธิการ ป.ป.ท.สั่งการให้ตรวจสอบปัญหาการทุจริตของกระทรวงศึกษาธิการเพิ่มเติมหลังจากที่ตนลงไปตรวจสอบ ขณะนี้ ป.ป.ท.เขตพื้นที่ 3 ลงพื้นที่ไปแล้วและตนพร้อมให้ข้อมูลเพื่อทำงานร่วมกันจะได้เอาตัวคนผิดมาลงโทษโดยเร็ว พร้อมกันนี้ยังได้ประสานงานไปยัง ปปง.เพื่อขอให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินด้วย จะได้นำมาเป็นหลักฐานดำเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรงต่อไป

ส่วนความคืบหน้าการสอบสวนทุจริตงบประมาณอาหารกลางวันเด็กอนุบาล โรงเรียนบ้านท่าใหม่ ต.ประสงค์ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ที่ให้เด็กกินเส้นขนมจีนคลุกน้ำปลามานานกว่า 3 ปี นายชุมพล ศรีสังข์ ศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เผยว่า หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการในที่ประชุม ครม.ให้แก้ไขปัญหาการจัดอาหารกลางวันของโรงเรียนบ้านท่าใหม่ ให้ดำเนินการขั้นเด็ดขาดทั้งในส่วนของ ผอ.โรงเรียน และ ผอ.เขตพื้นที่การศึกษาต้นสังกัดที่ปล่อยปละให้เกิดปัญหาที่ส่อไปในทางทุจริตเงินค่าอาหารกลางวันเด็ก โดยนายวิชวุทย์ จินโต ผวจ.สุราษฎร์ธานี ในฐานะประธานคณะกรรมการการศึกษาธิการจังหวัด มีคำสั่งด่วนถึงนายประทีป ทองด้วง ผอ.สพป.สุราษฎร์ธานี เขต 2 ให้ทำหนังสือรายงานข้อเท็จจริงเป็นลายลักษณ์อักษรถึงมาตรการควบคุมดูแลโครงการอาหารกลางวัน ให้รายงานผลให้ทราบทันทีเพื่อพิจารณาความบกพร่อง

นอกจากนี้ ผวจ.สุราษฎร์ธานี ยังมีมาตรการเร่งด่วน แจ้งถึง ผอ.สพป.ทั้ง 3 เขต ให้ควบคุมดูแลโรงเรียนในสังกัดอย่างใกล้ชิด หากมีเรื่องร้องเรียนหรือตรวจสอบพบว่ามีโรงเรียนในสังกัดมีพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกัน หรือจัดอาหารไม่เหมาะสมตามหลักโภชนาการ ก็จะดำเนินการทางวินัยขั้นเด็ดขาดทันที ขณะเดียวกัน ยังขอความร่วมมือไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการควบคุมแลดูการจ่ายเงินงบประมาณให้ถูกต้องและเป็นไปตามระเบียบราชการ

ศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวด้วยว่า ได้แจ้งถึงผู้บริหารโรงเรียนระดับประถมทุกโรงเรียนใน จ.สุราษฎร์ธานี ในการจัดอาหารกลางวันให้เด็กนักเรียนจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด 4 ข้อ คือ 1.ต้องจัดอาหารให้ถูกหลักโภชนาการและสารอาหารครบ 5 หมู่ 2.ต้องจัดให้มีคณะกรรมการดำเนินการภาคประชาชน และคณะกรรมการสถานศึกษา เข้าร่วมในกิจกรรม 3.การจัดซื้อจัดจ้างต้องเป็นไปตามระเบียบพัสดุ และ 4.ต้องหมุนเวียนเมนูอาหารไม่ให้จำเจ ทุกโรงเรียนจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด หากตรวจสอบพบจะดำเนินการทางวินัยทันที ส่วนกรณี ของนายสมเชาว์ สิทธิเชนทร์ ผอ.โรงเรียนบ้านท่าใหม่ ได้รับรายงานว่าคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ที่แต่งตั้งโดย ผอ.สพป.สุราษฎร์ธานี เขต 2 กำลังเร่งรวบรวมเอกสารหลักฐาน สอบถามพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสรุปสำนวน โดย ผวจ.มีคำสั่งกำชับให้ดำเนินการสรุปผลและรายงานผลการสืบสวนโดยด่วน

ด้านนายประทีป ทองด้วง ผอ.สพป.สุราษฎร์ธานี เขต 2 เผยว่า ที่ผ่านมาได้ให้นโยบายกับ ผอ.โรงเรียนและอาจารย์ที่ดำเนินการเกี่ยวกับโครงการอาหารกลางวันนักเรียนในสังกัดในการประชุมประจำเดือนทุกครั้ง ให้ดูเจตนาการดำเนินการเนื่องจากแต่ละโรงเรียนมีจำนวนนักเรียนไม่เท่ากัน ดังนั้นต้องทำอย่างโปร่งใส ไม่คาดคิดว่าจะมีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น โรงเรียนระดับประถมศึกษาใน สพป.สุราษฎร์ธานี เขต 2 มีทั้งหมด 224 โรงเรียน แยกเป็นเขตปฏิบัติการที่ 1 จำนวน 66 โรงเรียน เขตปฏิบัติการที่ 2 จำนวน 64 โรงเรียน เขตปฏิบัติการที่ 3 จำนวน 72 โรงเรียน และเขตปฏิบัติการที่ 4 เป็นโรงเรียนเอกชน 22 โรงเรียน

ที่มา : นสพ.ไทยรัฐ