ชู 4 แนวทางนำการศึกษาถึงเด็ก



“ในปี 1999 ข้าพเจ้าได้เขียนคติพจน์ “มาร่วมกันสร้างโลกที่อ่านออกเขียนได้” ขึ้น ข้าพเจ้าจะยังคงยึดมั่นในอุดมคติดังกล่าว รวมถึงอุดมคติของการศึกษาเพื่อปวงชน และปวงชนเพื่อการศึกษา”

พระราชดำรัส ปิดท้ายปาฐกถาพิเศษของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสที่ทรงเสด็จพระราชดำเนินเปิดงานการประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา : ปวงชนเพื่อการศึกษา และทรงปาฐกถาพิเศษเรื่อง 4 ทศวรรษ การทรงงานด้านการศึกษาและการพัฒนาคุณภาพเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส ที่โรงแรมสยาม เคมปินสกี้

เป็นการประชุมนานาชาติในยุคนิวนอร์มอล จัดโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) องค์การยูเนสโก องค์การยูนิเซฟ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยเป็นการประชุมผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งมีผู้สนใจจากทั่วโลกลงทะเบียนเข้าร่วมประชุมมากกว่า 2,000 คน ซึ่งบางช่วงเวลาก็มียอดสูงถึง 8,000 คน เมื่อวันที่ 10-11 ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นการระดมนักวิชาการ จากทุกมุมโลกมาช่วยกันระดมความคิด เสนอแนะแนวทาง ในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเฉพาะช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาดไปทั่วโลก ส่งผลให้เด็กทั่วโลกต้องห่างไกลจากโรงเรียนไม่น้อยกว่า 4 เดือน และหลังการระบาดของโรคร้ายนี้ ก็คาดกันว่าจะมีเด็กที่หลุดจากระบบโรงเรียนอย่างถาวรอีกนับไม่ถ้วน

นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการ กสศ. เล่าถึงที่มาของการประชุมว่า ปีนี้เป็นปีที่ครบ 30 ปี ของการประกาศปฏิญญาจอมเทียน ที่ทั่วโลกยึดหลักแนวทางการจัดการศึกษาเพื่อปวงชน หรือ Education fot All เพื่อสร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งทุกประเทศทำได้ดีในช่วง 20 ปีแรก แต่พอมา 10 ปีหลังพบว่าทั่วโลกเกิดภาวะหยุดชะงัก คือ ตัวเลขเด็กหลุดจากระบบการศึกษาไม่ลดลง จึงต้องปรับแนวคิด มาเป็น All for Education ที่ต้องระดมทุกภาคส่วนมาเพื่อการศึกษา และยิ่งมาในปีนี้ที่เกิดภาวะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เด็กนักเรียนทั่วโลกไม่ว่าจะยากดีมีจน ต้องหยุดกันหมดกว่า 1,600 ล้านคน และคาดกันว่าหลังการแพร่ระบาดจะมีเด็กหลุดจากระบบการศึกษา ทั่วโลก 75 ล้านคน สำหรับประเทศไทย ก่อนการเกิดโรคระบาดก็มีเด็กและเยาวชนที่ต้องหลุดจากระบบโรงเรียน 5 แสนคน หลังจากนี้คาดการณ์ว่าคงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอีกมากตามปัจจัยผลกระทบทางเศรษฐกิจ เราจึงต้องมาระดมสมองทบทวนหาวิธีการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพราะโควิดเป็นตัวบีบให้เราต้องคิดวิธีใหม่ จึงเป็นการประชุมออนไลน์ ทำให้เราสามารถสร้างเนื้อหาสาระการประชุมที่ดีกว่าการประชุมรูปแบบเดิม

“ข้อเสนอจากที่ประชุมสรุปได้ 4 แนวทางในการจะช่วยสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา คือ 1. การมีกฎหมายที่ระบุให้การศึกษาเป็นสิทธิของประชาชนที่จะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ 2.การมีทุนการศึกษา ที่ไม่ได้แค่ทุนการศึกษาสำหรับคนเรียนเก่ง แต่เป็นทุนที่ช่วยให้เด็กเยาวชนที่เดือดร้อนจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาได้ง่ายขึ้น เช่น บางคนพิการ มีคดี มีภาระต้องดูแลพ่อแม่ หรือปู่ย่าตายายที่ป่วยติดเตียง โดยเป็นทุนที่เจาะกลุ่มเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ 3.สื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพเข้าถึงได้ ปราศจากอุปสรรคด้านภาษา 4.ข้อมูลซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเหลือเด็กและเยาวชนได้ตรงกลุ่มเป้าหมายว่าเป็นกลุ่มที่ยากจนจริงๆ” ผู้จัดการ กสศ.กล่าว

นพ.สุภกร ยังกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ หลายประเทศก็มีการเสนอเรื่องการทุ่มเทพัฒนาเทคโนโลยี โดยมีตัวอย่างของประเทศญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ซึ่งมีองค์กรพัฒนานวัตกรรมด้านการศึกษา รวมทั้งการให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมจัดการศึกษา เพราะชุมชนอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าหน่วยงานจากส่วนกลาง และยังมีการดึงภาคเอกชนเข้ามาร่วมจัดการศึกษา สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า คำว่า All for Education จึงเป็นการดึงทุกคน ทุกหน่วยงาน ทรัพยากร งบประมาณ เพื่อการศึกษา องค์การยูเนสโก จึงเชิญชวนทุกประเทศให้มาร่วมกันเป็นเครือข่าย ส่งเสริมประเทศต่างๆ สร้างกลไกที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งขณะนี้กลไกหนึ่งที่ทำอยู่ ก็คือกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

“อีกแนวคิดที่ที่ประชุมเห็นตรงกันคือ วิกฤติโควิด ทำให้โรงเรียนทรุดลงเหมือนกันหมด แต่หลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แล้ว เราต้องหาวิธีการให้โรงเรียนกลับมาโดยยึดหลักการ “สร้างกลับมาให้ดีขึ้น หรือ Build Back Better” แทนที่จะคิดว่ากลับมาดีเหมือนเก่า เราต้องคิดหาวิธีใหม่ ให้โรงเรียนเรากลับมาดีกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็ต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ จากเดิมที่เด็กเยาวชนเดินมาหาโรงเรียน มาหาครูให้ครูสอน ซึ่งเหมาะกับเด็กที่ไม่ยากลำบาก แต่สำหรับเด็กยากจนในชนบทห่างไกล เราต้องนำการศึกษาไปหาเด็กเหล่านั้นแทน โดยระดมทั้งข้อมูล เทคโนโลยี การให้ทุนแบบตรงกลุ่มเป้าหมาย การพัฒนาครู การมีส่วนร่วมของท้องถิ่น การสร้างเครือข่ายทางการศึกษา” ผู้จัดการ กสศ.สรุป

ทีมการศึกษา เห็นว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ถือเป็นโจทย์ร่วมกันในระดับนานาชาติ สำหรับประเทศ ไทยมีกลไกที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา นั่นคือ กสศ.ที่ใช้ข้อมูล งานวิจัย เจาะลึกมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนที่ยากจนจริงๆ ให้ได้โอกาสเข้าถึงการศึกษาง่ายขึ้น ทั้งยังเป็นตัวอย่างให้กับประเทศอื่นๆ ที่สนใจอยากเรียนรู้เพื่อนำกลไกนี้ไปปรับใช้ในประเทศตนเอง

และข้อคิดของการระดมสมองครั้งนี้ คงเป็นจริงได้ ถ้าทุกฝ่ายลงมือทำกันอย่างจริงจัง การเปลี่ยนวิธีคิด ระดมทุกสรรพกำลังจากทุกภาคส่วน นำการศึกษาไปถึงเด็กกลุ่มยากไร้ เป็นอีกแนวทางที่จะช่วยลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

ความเสมอภาคทางการศึกษา ก็จะไม่เป็นเพียงแค่ความฝันลมๆแล้งๆอีกต่อไป.

ทีมการศึกษา

นสพ.ไทยรัฐ


โพสเมื่อ : 22 ก.ค. 63   อ่าน 2219 ครั้ง      คำค้นหา :