ชูสูตร ‘เครดิตบูโร’ สางหนี้ครู 1.4 ล้านล.



มหากาพย์แก้หนี้ครู เป็นปัญหาต่อเนื่อง หลายรัฐบาลเข้ามาต่างยกเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องเร่งแก้ไข…

เช่นเดียวกับรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ยกเอาปัญหาหนี้สินครู เป็น 1 ใน 4 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ประกาศจะเดินหน้าแก้ปัญหาทันทีหลังเข้าทำงาน

โดยเริ่มจากการ พักหนี้เกษตรกร จากนั้นจะเข้าไปดูแลแก้ปัญหาหนี้สินของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และตำรวจ เป็นอาชีพต่อไป

ปัจจุบัน ครู ทั่วประเทศมีกว่า 9 แสนคน มีครูกว่า 80% กำลังเผชิญกับภาวะหนี้สินจำนวนมหาศาลกว่า 1.4 ล้านล้านบาท

โดยมีสหกรณ์ออมทรัพย์เป็น เจ้าหนี้ รายใหญ่ 8.9 แสนล้านบาท คิดเป็น 64% ของยอดหนี้ทั้งหมด อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ 5.64-7%

สมาชิกเฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์ข้อความ พร้อมระบุว่า เปรียบเทียบดอกเบี้ยเงินกู้ของแต่ละสหกรณ์ออมทรัพย์ครู ในจังหวัดภาคอีสาน 19 จังหวัด มีอัตราดอกเบี้ยสูงต่ำไม่เท่ากัน ดังนี้ ขอนแก่น 5.90% นครราชสีมา 6% หนองคาย 5.50% สกลนคร 6.50% หนองบัวลำภู 6% บึงกาฬ 7% นครพนม 6.60% อุดรธานี 4.80% เลย 5.90% ร้อยเอ็ด 6.15% ยโสธร 6.95% อำนาจเจริญ 6.50% ศรีสะเกษ 6.85% มหาสารคาม 5.75% ชัยภูมิ 5.75% บุรีรัมย์ 5.95% อุบลราชธานี 6.75% กาฬสินธุ์ 6.25% และสุรินทร์ 5.50%

เมื่อเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย จะเห็นได้ว่าแต่ละสหกรณ์จะกำหนดอัตราดอกเบี้ยแตกต่างกัน โดยพบว่าจังหวัดที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงสุด คือ บึงกาฬ อยู่ที่ 7%

เจ้าหนี้ที่รองๆ ลงมา คือ ธนาคารออมสิน 3.49 แสนล้านบาท คิดเป็น 25% ของยอดหนี้ อัตราดอกเบี้ย 6.9% ธนาคารกรุงไทย 6.3 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 4% ของยอดหนี้ อัตราดอกเบี้ย 7.12% และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) 6.1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 4% ของยอดหนี้ อัตราดอกเบี้ย 6.4%

ขณะที่ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ประกาศนโยบายลุยแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา

เริ่มจากให้ต้นสังกัด ประสานให้ครูได้ไฟแนนซ์ หรือรวมหนี้เป็นก้อนเดียว เพื่อลดภาระผ่อนชำระ โดยลดดอกเบี้ยให้ถูกลง ระยะเวลาผ่อนส่งยาวขึ้น พักชำระดอกเบี้ยให้แก่ครูที่เป็นหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ครู และสถาบันการเงิน

แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาก็คือ ครูใหญ่อุ้มประกาศว่ารัฐบาลจะจ่ายดอกเบี้ย ให้แก่ครูที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี โดยครูจะชำระเพียงเงินต้น

พร้อมตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา มอบหมายให้ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่า ศธ. เป็นประธาน พร้อมเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการเงินและกฎหมาย จากหลายหน่วยงาน ทั้งผู้แทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย สถาบันการเงิน สำนักงานอัยการสูงสุด ผู้บริหารองค์การหลัก ศธ. ฯลฯ

นายสุรศักดิ์กล่าวว่า ระหว่างนี้ได้ศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาหนี้สินครูในช่วงที่ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง เป็นรัฐมนตรีว่าการ ศธ. ได้ดำเนินการไว้ และได้ลงพื้นที่ ซึ่งมีข้อมูลที่นำมาต่อยอดได้เลย โดยไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่

สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาหนี้สินครู จะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ สีเขียว คือ ครูที่มีสภาพคล่อง สีเหลือง คือ ครูที่มีหนี้บ้างเล็กน้อย และสีแดง คือ เป็นหนี้เสีย อาจถูกฟ้องล้มละลาย

โดยเบื้องต้นต้องให้ความรู้เรื่องการบริหารจัดการเงิน เพื่อปรับพฤติกรรมทางการเงินของครูและบุคลากรทางการศึกษา การเจรจาลดดอกเบี้ยจากสหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งถือเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ หากลดได้ก็จะทำให้ครูมีเงินเหลือมากขึ้น

เสมา 2 ยังปิ๊งไอเดีย ใช้ “เครดิตบูโร” เข้ามามีส่วนในการแก้ปัญหาหนี้สินครู

โดยแนวคิดนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากหน่วยงานต้นสังกัด ได้หักเงินเดือนใช้หนี้ตามระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการหักเงินเดือน เงินบำเหน็จบำนาญ เพื่อชำระหนี้เงินกู้ให้แก่สวัสดิการภายในส่วนราชการและสหกรณ์ พ.ศ.2551 ข้อ 7 (5) ที่บัญญัติ
ว่า การจะให้ส่วนราชการหักเงิน ณ ที่จ่ายเพื่อชำระหนี้เงินกู้นั้น จะต้องมีเงินเดือนสุทธิหลังจากหักชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของเงินเดือน ซึ่งออกมาเมื่อปี 2555

แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่า บางหน่วยงานหักเงินนอกรอบ เพราะมีการกู้เงินจากสถาบันการเงินอื่น หรือไปกู้นอกระบบ เพื่อมาโปะหนี้เพิ่ม

จึงคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะนำข้อมูลสหกรณ์ออมทรัพย์ทั่วประเทศเข้าเครดิตบูโร เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถตรวจสอบสถานะทางการเงินของผู้กู้แต่ละราย ประกอบการพิจารณาปล่อยกู้ เนื่องจากที่ผ่านมาข้อมูลการกู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์จะไม่ปรากฏในฐานข้อมูลเครดิตบูโร

อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้จะสามารถใช้ได้เฉพาะหนี้ในระบบ ซึ่งหากครูก่อหนี้นอกระบบ รัฐบาล และ ศธ.คงไม่สามารถตามแก้ปัญหาได้หมดสิ้น

“เรื่องนี้มีข้อดี และข้อเสีย ข้อเสนอนี้มีผู้แย้งว่า หากนำข้อมูลดังกล่าวเข้าระบบเครดิตบูโร อาจทำให้ครูขาดความน่าเชื่อถือ ตรงนี้ต้องหาแนวทางแก้ปัญหาที่รอบคอบ ซึ่งแนวทางที่ผมวางไว้ คงไม่ใช่การนำเงินหลวงเพื่อมาช่วยแก้ปัญหาหนี้สินครู สิ่งที่ทำได้คือการเจรจาลดดอกเบี้ย รวมหนี้ รีไฟแนนซ์ โดยจะเจรจาปรับลดดอกเบี้ยให้เหลือน้อยที่สุด แต่คงไม่สามารถบังคับให้สหกรณ์ออมทรัพย์ลดดอกเบี้ยได้ทุกแห่ง ดังนั้น อาจเปิดช่องให้ครูเลือกกู้สหกรณ์ข้ามจังหวัดได้ เพื่อให้ครูมีโอกาสกู้สหกรณ์ที่มีดอกเบี้ยน้อยที่สุด แนวทางนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่ คงต้องดูรายละเอียดเพื่อวางมาตรการที่เหมาะสมต่อไป” นายสุรศักดิ์กล่าว

ซึ่งนายสุรศักดิ์ยืนยันว่าการช่วยเหลือครูครั้งนี้ จะเน้นเฉพาะหนี้ในระบบก่อน

ส่วนวิธีการจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องรอที่ประชุมคณะอนุกรรมการ ซึ่งหลายเรื่องต้องได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.)

โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องใช้เงินภาษีประชาชนมาช่วยพยุงหนี้ครู!

ล่าสุด คณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ยังได้อนุมัติจัดสรรวงเงินให้กู้ยืมของเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู วงเงิน 200 ล้านบาท ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัด ศธ.กู้ยืมตามหลักเกณฑ์และวิธีการให้กู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนฯ พ.ศ.2565

โดยมีคุณสมบัติตามที่ ก.ค.ศ.กำหนด สามารถกู้ยืมเงินได้คนละไม่เกิน 500,000 บาท ในอัตรา 4% ต่อปี ผ่อนชำระคืนภายใน 12 ปี หรือ 144 งวด

ทั้งนี้ การปล่อยกู้เงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินครู เริ่มตั้งแต่ปี 2540 มีผู้กู้รวม 59,235 ราย ปล่อยกู้ไปแล้วเป็นเงิน 5,207,410,009.77 บาท เฉพาะปี 2566 มีผู้กู้รายใหม่ 435 ราย วงเงินกู้ 146 ล้านบาทเศษ

เรียกว่าทุกหน่วยงาน ต่างลงมาลุยสางปัญหาหนี้ครูกันต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าปัญหานี้คงไม่จบลงง่ายๆ ถ้าหากยังไม่มีวินัยทางการเงิน ไม่ยอมหยุดสร้างหนี้ต่อเนื่อง!?!

ที่มา : นสพ.มติชนออนไลน์

 

 


โพสเมื่อ : 01 พ.ย. 66   อ่าน 402 ครั้ง      คำค้นหา :