รัฐบาลพอใจนโยบาย "ครูตู้" ผลสอบ นร."ป.3-ป.6"ดีขึ้น

รัฐบาลพอใจนโยบาย’ครูตู้’ ผลสอบ นร.’ป.3-ป.6’ดีขึ้น

รัฐบาลพอใจนโยบายการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม หลังขยายพื้นที่บริการครอบคลุมทั่วประเทศ พบคะแนนสอบระดับชาติของนักเรียนดีขึ้น
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยวานนี้ (8 ก.ค.) ว่า จากนโยบายลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ด้วยเทคโนโลยีการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (ดีซีทีวี) หรือที่เรียกกันว่า "ครูตู้" ทั้ง 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้แก่ 1.ภาษาไทย 2.คณิตศาสตร์ 3.วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และ5.ภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ชั้น ป.1 - ม.6 พบว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง โดยตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการเมื่อปี 2557 สามารถขยายการให้บริการการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมแก่โรงเรียนขนาดเล็กที่มี คุณครูไม่ครบชั้นได้ครบทุกโรงเรียนทั่วประเทศ จำนวน 15,369 โรง จากเดิมที่เคยมีระบบดีซีทีวีเพียงแค่ 6,628 โรงเท่านั้น และช่วยให้นักเรียนกว่า 1 ล้านคนได้ศึกษาครบทุกกลุ่มสาระวิชาจากเดิมที่มีคุณครูไม่เพียงพอไม่ครบชั้น ทำให้การเรียนทำได้ไม่เต็มที่

พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า ผลการประเมินค่าการพัฒนาของนักเรียนที่มีโครงการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เข้าไปช่วยสนับสนุนพบว่า มีการพัฒนาดีขึ้นอย่างชัดเจนโดยวัดจากผลการสอบระดับชาติ (National Test) หรือ เอ็นที พบว่า นักเรียนระดับ ป.3 มีค่าการพัฒนาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3.12% โดยผลสอบกลุ่มสาระวิชาด้านคณิตศาสตร์มีค่าการพัฒนาเพิ่มขึ้นสูงสุด 6.01%

ขณะที่ผลทดสอบเอ็นทีของชั้น ป.6 มีค่าการพัฒนาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.98% โดยกลุ่มสาระสังคมศึกษามีคะแนนค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 11.66%

รองโฆษกฯ กล่าวต่อว่า แม้จะเริ่มโครงการได้เพียง 1 ภาคการศึกษาเศษแต่ผลการพัฒนาคุณภาพนักเรียนเป็นที่น่าพอใจ และรัฐบาลตั้งใจที่จะดำเนินการต่อเนื่อง โดยนำปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นมาแก้ไขปรับปรุง อาทิ บางห้องเรียนติดตั้งจอโทรทัศน์สองจุด ทำให้เกิดเสียงรบกวนกันเอง นักเรียนบางโรงเรียนเป็นชาวต่างด้าวจึงไม่สันทัดเรื่องภาษา และคุณครูบางแห่งยังไม่ได้อบรมเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดรับ กับเนื้อหาวิชา จึงทำให้ไม่เกิดประสิทธิภาพเต็มที่ หรือบางโรงเรียนไฟฟ้าตก ไฟฟ้าดับบ่อย

อย่างไรก็ดีเชื่อว่า เมื่อดำเนินการต่อไปสักระยะ ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งมีคุณครูไม่ครบชั้นจะดียิ่ง ขึ้นกว่าในปัจจุบัน--จบ--

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ