สวทช.เดินเครื่องเต็มสูบวาง 5 ด้าน วิจัยสู่นวัตกรรมเชิงรุก ตอบโจทย์สังคมนำไทยสู่ 4.0



วิจัย คือ กุญแจสำคัญของการพัฒนาประเทศ

ในปี 2560สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สวทช.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีรายได้จากการวิจัย 1,961 ล้านบาท จากเป้าหมาย 1,830 ล้านบาท ความสำเร็จจากงานวิจัยเป็นผลมาจากการทำงานหนักเพื่อตอบโจทย์ทุกภาคส่วนของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นองค์ความรู้พื้นฐาน นวัตกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรืองานวิจัยที่เอื้อประโยชน์ เติมขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการทั้งธุรกิจขนาดจิ๋ว เอสเอ็มอี เอกชนรายใหญ่ หรือธุรกิจข้ามชาติ

ขณะเดียวกัน สวทช.เตรียมพร้อมมุ่งสู่งานวิจัยอีก 5 ด้าน ตามแผนกลยุทธ์ ฉบับที่ 6 (ปี 2560-2564) โดยกำหนดประเด็นในการดำเนินการเพื่อสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจน ได้แก่ อาหารเพื่ออนาคต, ระบบขนส่งสมัยใหม่, การสร้างสุขภาพและคุณภาพชีวิตคนไทย, เคมีชีวภาพและเชื้อเพลิงชีวภาพ และนวัตกรรมเพื่อการ
เกษตรยั่งยืน

“สวทช. ได้รับโอกาสในการทำงานหลายๆเรื่องจากรัฐบาล โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมผลักดันระบบวิจัยของประเทศอย่างเข้มข้น จนเกิดแผนยุทธศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ 20 ปี” ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผอ.สวทช.กล่าวถึงงานที่เน้นเพื่อทำให้ปีหน้าเป็นปีแห่งนวัตกรรมเชิงรุก

ทั้ง สวทช.ยังมีการศึกษาค้นคว้าที่ทำมาอย่างต่อเนื่องเกิดเป็นผลงานพร้อมใช้ ที่ตอบสนองความต้องการของภาคเกษตร บริการ และอุตสาหกรรมได้เป็นที่น่าพอใจ ทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีไปสู่การใช้ประโยชน์ 255 โครงการ ให้กับ 311 หน่วยงาน สร้างมูลค่าเพิ่มด้านเศรษฐกิจและสังคม 27,546 ล้านบาท เกิดการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของภาคการผลิตและบริการ 9,456 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งการรับจ้างวิจัย การร่วมวิจัย การขายสิทธิบัตร รวมทั้งการให้คำปรึกษาต่างๆด้วย

และปี 2560 สวทช.ได้ยื่นจดสิทธิบัตร 301 รายการ และผลงานตีพิมพ์ในวารสารนานา ชาติ 578 ฉบับ ซึ่งในจำนวนนี้มีผลงานตีพิมพ์ที่มี Impact Factor ระดับ 34 ที่ถือว่าสูงมาก 1 ฉบับ หากนับรวม 4 ปีที่ผ่านมา สวทช. มีบทความตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติแล้ว 2,035 ฉบับ โดยผลงาน 1 ใน 3 ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติชั้นนำของโลก รวมถึงได้รับการนำไปใช้อ้างอิงในทางวิชาการสูงกว่าค่าเฉลี่ยภาพรวมของประเทศ

ขณะเดียวกันก็มีงานด้านการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทยผ่านโปรเจกต์หลักๆ ประกอบด้วย โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ ITAP ส่งผู้เชี่ยวชาญทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ 1,551 โครงการ มูลค่าผลกระทบ 2,573 ล้านบาท มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประมาณการตัวเลขผลกระทบด้านการลงทุนปี 2559 ระบุว่า ทุก 1 บาทที่ภาคเอกชนลงทุนก่อให้เกิดผลกระทบประมาณ 7.64 บาท หรือ 7 เท่า ในระยะเวลา 1 ปี

โครงการหิ้งสู่ห้าง 3 หมื่นบาททุกสิทธิบัตร มีผู้ขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีกว่า 306 รายการ ขณะที่โครงการสร้างผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรม หรือ Start-up Voucher 8 แสนบาทต่อโครงการ ได้สนับสนุนเงินด้านการตลาด 82 ราย มูลค่า 60 ล้านบาท สร้างรายได้ 80 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการภาษีวิจัย 300% ได้ให้การรับรอง 400 โครงการ ในส่วนของบัญชีนวัตกรรมก็มีผู้ยื่นขอ 326 รายการ ให้การรับรอง 136 รายการ

“จากรายได้ที่เราขยายเป้าเพิ่มระหว่างปีนี้ เราเชื่อว่าในปี 2561 จะสร้างรายได้มากกว่า 2 พันล้านบาท ทั้งจากการรับจ้างวิจัย การร่วมวิจัยกับภาคเอกชน รวมถึงบริการทางเทคนิคต่างๆ ที่สำคัญ คือ การเพิ่มส่วนของการฝึกอบรมสำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ต้องขยับสู่เทคโนโลยีใหม่ (Retrain) รวมถึงภาคเกษตรกรรมที่ต้องเปลี่ยนสู่เกษตรสมัยใหม่” ผอ.สวทช. ขยายความเพื่อทำให้เห็นภาพการมุ่งงานวิจัยในอนาคต

ที่สำคัญปี 2561 สวทช.ยังจะเดินหน้าเชิงรุก เพื่อสร้างนวัตกรรมที่เหนือความคาดหมาย มาช่วยพลิกโฉมประเทศให้หลุดการเป็นประเทศกับดักรายได้ปานกลางสู่ไทยแลนด์ 4.0

ทั้งจะต่อยอดจากฐานความเชี่ยวชาญของ 4 ศูนย์แห่งชาติของ สวทช. ทั้งด้านไบโอเทคโนโลยี ดิจิทัลเทคโนโลยี เทคโนโลยีวัสดุ และนาโนเทคโนโลยี มีเป้าหมายเพื่อการส่งเสริมให้โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของประเทศได้ใช้ประโยชน์จากผลการศึกษาวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมของไทย อาทิ อีอีซีไอ ซึ่งมีจุดโฟกัสอยู่ที่ 6 อุตสาหกรรม ได้แก่ แบตเตอรี่และยานยนต์สมัยใหม่, ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, การบินและอวกาศ, เครื่องมือแพทย์, เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และเชื้อเพลิงและเคมีชีวภาพ

“สวทช.ได้ลงนามร่วมกับหน่วยงานต่างๆรวม 63 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันพัฒนาอีอีซีไอบนพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ ประกอบด้วย พื้นที่สีเขียว 40% พื้นที่วิจัย 40% และส่วนสนับสนุนการวิจัย 20% ทั้งนี้ มีแผนการพัฒนาโครงการอีอีซีไอในปี 2561 อาทิ การออกแบบอาคาร การใช้ศักยภาพของโปรแกรม ITAP ลงพื้นที่ทำงานร่วมกับเอสเอ็มอีในพื้นที่ นอกจากนี้ยังนำงานวิจัยและนวัตกรรมด้านเกษตรของหน่วยงาน สท. ลงพื้นที่ 50 ชุมชนทันที” ดร.ณรงค์กล่าว

สวทช.ยังเตรียมจัดทำเมกะโปรเจกต์ใหม่ อาทิ ธนาคารพันธุ์พืช ธนาคารข้อมูลจีโนม หรือดีเอ็นเอ เป็นสิ่งที่ไทยต้องลงทุนเพื่อผลในระยะกลางหรือระยะยาวด้วย

“ทีมข่าววิทยาศาสตร์”มองว่า ยิ่งโลกพัฒนาไปมากขึ้นเท่าใด งานวิจัยเพื่อเพิ่มองค์ความรู้ คุณค่า และมูลค่ายิ่งมีความสำคัญมากขึ้น

งานวิจัยยิ่งตอบโจทย์สังคมไทยได้มากเท่าใด ยิ่งจะผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวพ้นคำว่า “ประเทศกับดักรายได้ปานกลาง” ไปสู่ประเทศไทย 4.0 อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนตลอดไป.

ทีมข่าววิทยาศาสตร์

ที่มา : นสพ.ไทยรัฐ


โพสเมื่อ : 20 ธ.ค. 60   อ่าน 1471 ครั้ง      คำค้นหา :