"ดร.ไกรยศ"
ชี้ แก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก
ถูกยุบควบรวมด้วยวิธีจัดสรรทรัพยากรด้วยหลักความเสมอภาค ใช้ระบบ iSEE ชี้
พิกัดแก้ตรงจุด และใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ช่วยเพิ่มคุณภาพการศึกษา วันที่ 18 ธ.ค. ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคเพื่อการศึกษา (กสศ.)
กล่าวว่า โจทย์ของโรงเรียนขนาดเล็กเป็นโจทย์ที่มีความซับซ้อน
และถือเป็นโจทย์สำคัญในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของประเทศ
กสศ. พยายามวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อตีโจทย์โรงเรียนขนาดเล็กให้เห็นภาพ
และแนวทางการปฏิรูปเชิงระบบที่ชัดเจน
เพื่อสนับสนุนกระบวนการวิจัยเชิงระบบที่จะนำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
และสอดคล้องกับกำลังของ กสศ. ที่มีงบประมาณจำกัดเพียง 0.5%
ของงบประมาณในระบบการศึกษา
เราจึงกำหนดโจทย์การทำงานไปที่กลุ่มโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลของชุมชน
(Small Protected School) ที่ไม่สามารถยุบและควบรวมได้
ดร.ไกรยศ กล่าวต่อไปว่า
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
(iSEE) พบว่าปัจจุบันประเทศไทยมีโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีนักเรียนต่ำกว่า 120
คนต่อโรงเรียน และมีระยะห่างจากโรงเรียนข้างเคียงที่ใกล้ที่สุด ไม่ต่ำกว่า
10 กิโลเมตร อยู่จำนวน 1,594 โรง ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลบนดอย
เกาะแก่ง และปัจจุบันโรงเรียนกลุ่มนี้ทั่วประเทศ
จัดการศึกษาให้นักเรียนอยู่ราว 100,000 คน ดังนั้น
หากมีการยุบและควบรวมโรงเรียนกลุ่มนี้จะทำให้เด็กเยาวชนที่เรียนอยู่ในโรงเรียนกลุ่มนี้
ต้องเดินทางไปโรงเรียนข้างเคียงด้วยระยะทางที่ไกลกว่า 10-20 กิโลเมตร กสศ.
จึงใช้กระบวนการวิจัยเชิงระบบเพื่อกำหนดโจทย์การทำงานที่จะนำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการปฏิรูปความเสมอภาคทางการศึกษาของโรงเรียน
Protected School เหล่านี้ ให้สามารถยืนหยัดจัดการศึกษาที่มีคุณภาพให้แก่
เด็ก เยาวชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วย 3 โจทย์ย่อย ได้แก่
การแก้ไขปัญหาด้วยข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์
การจัดสรรทรัพยากรด้วยหลักความเสมอภาคและนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอน
1. การแก้ไขปัญหาด้วยข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์
(Evidence-based Reform) กสศ.
ได้พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ Information system
for Equitable Education หรือ iSEE
ระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่ช่วยให้ทุกคนเห็นสภาพปัญหาที่จริง
ชี้พิกัดในแผนที่ให้เห็นชัดว่าโรงเรียน 1,594
โรงที่ต้องการการคุ้มครองนี้อยู่จังหวัดใด
และอยู่ระหว่างการพัฒนาขั้นตอนวิธี (Algorithm)
เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและปัจจัยสภาพแวดล้อมในมิติต่างๆ
เพิ่มเติมนอกเหนือจากระยะห่างระหว่างโรงเรียน เพื่อช่วยค้นหาโรงเรียน
Protected School
ที่ไม่สามารถยุบและควบรวมได้ที่ครอบคลุมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น อาทิ
ข้อมูลระยะทางจากบ้าน-โรงเรียน, ภูมิสารสนเทศ ชุมชน มานุษยวิทยาสังคม ฯลฯ
เพื่อให้เข้าใจสภาพปัญหาแท้จริงของครอบครัว ของครู ของเด็กและครอบครัว
รวมทั้งใช้พัฒนามาตรการสนับสนุนโรงเรียน Protected School
ให้สามารถจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพได้อย่างเสมอภาคทัดเทียมกับโรงเรียนขนาดกลางทั่วไป
2.
การจัดสรรทรัพยากรด้วยหลักความเสมอภาค (Equity-based Budgeting)
ปัจจุบันโรงเรียน Protected School
ได้รับการจัดสรรงบประมาณส่วนใหญ่ด้วยสูตรการจัดสรรเงินเดียวกับโรงเรียนปกติทั่วไปในประเทศไทยตามสูตรการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(สพฐ.) โดยมีองค์ประกอบสำคัญอยู่ 2 ส่วน คือ เงินอุดหนุนรายหัว
และงบเรียนฟรี 15 ปี ที่แปรผันตามจำนวนหัวนักเรียนและระดับการศึกษา
โดยมีเงินงบประมาณเพิ่มเติม (Top-up) ให้แก่โรงเรียนขนาดเล็ก 500-1,000
บาท/คน/ปี อยู่เล็กน้อย สูตรจัดสรรเงินในลักษณะนี้จะทำให้โรงเรียนที่มีจำนวนตัวคูณหัวนักเรียนต่ำเกิดปัญหาจากการไม่ประหยัดต่อขนาด
(Lack of Economies of Scale) เนื่องจากโรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 120
คนนั้น จะมีค่าใช้จ่ายพื้นฐานในการจัดการศึกษา
แทบไม่แตกต่างจากการจัดการศึกษาให้แก่เด็ก 150 หรือ เกือบ 200 คน เช่น
ค่าสาธารณูปโภค ค่าวัสดุอุปกรณ์ทั้งทางกายภาพ
และสำหรับใช้จัดการเรียนการสอนหรือแม้แต่ค่าจ้างครู
แต่การมีจำนวนนักเรียนที่น้อยกว่าโรงเรียนขนาดกลางอยู่ราว 25-50%
ทำให้โรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้
ไม่ได้รับการจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอต่อการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ
แม้จะมีการเพิ่มอัตรางบประมาณอุดหนุนรายหัว (Top-up)
ให้แก่โรงเรียนขนาดเล็ก แต่ก็ยังเป็นจำนวนที่ไม่พอสำหรับการปิดช่องว่าง
จากปัญหาการไม่ประหยัดต่อขนาดนี้ได้
ในทางกลับกัน
โรงเรียนขนาดใหญ่ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณด้วยสูตรการจัดสรรเดียวกันนี้ก็จะมีงบประมาณเหลือพอจากการประหยัดจากขนาด
(Economies of Scale) และสามารถนำงบประมาณดังกล่าวไปลงทุน จัดหา
และจ้างบุคลากรเสริมคุณภาพการจัดการศึกษาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ปัญหาความไม่สมมาตรการของโครงสร้างต้นทุนและสูตรการจัดสรรเงินดังกล่าวนี้ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพและความเสมอภาคในการจัดการศึกษาระหว่างโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนขนาดใหญ่
และยังทำให้เห็นได้ว่าการปฏิรูปแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษาไทยสามารถทำได้โดยการจัดสรรงบประมาณด้วยหลักความเสมอภาค
(Equity-based Budgeting)
โดยการมีสูตรการจัดสรรงบประมาณที่สามารถโยกทรัพยากรจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง
(Redistribution) โดยไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นเลยเสียด้วยซ้ำ
ทั้งทรัพยากรที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน 3.
นวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ด้วยสภาพความจำเป็นพิเศษ
ทั้งข้อจำกัดทั้งในด้านทรัพยากรบุคลากรและความด้อยโอกาสของผู้เรียน
การจัดการเรียนการสอนให้แก่เด็กเยาวชนในโรงเรียนขนาดเล็กจำเป็นต้องอาศัยนวัตกรรมในการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพ
โดย 2 นวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ ได้แก่
การจัดการเรียนรู้แบบคละชั้น (Multi-age Classroom) และ Teaching at the
Right Level (TaRL) ที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการทรัพยากร กำลังคน
และสภาพแวดล้อมสาธารณูปโภคที่มีอยู่อย่างจำกัดในโรงเรียนขนาดเล็กนี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
รวมทั้งสามารถจัดการศึกษาได้สอดคล้องต่อความต้องการและศักยภาพของผู้เรียนได้เป็นรายบุคคล
ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการเรียนรู้และพัฒนาการของผู้เรียน
อย่างไรก็ตาม
การแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กต้องเริ่มต้นจากการศึกษาข้อมูลต่างๆ
อย่างรอบด้าน และนำเอาปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
เพื่อให้เห็นสภาพปัญหาอย่างแท้จริง กสศ.
อยากชักชวนให้มองปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกล
ที่ไม่สามารถควบรวมได้อีกนับพันแห่ง การแก้ปัญหาในส่วนนี้
มีอีกหลายวิธีการตั้งแต่การเปลี่ยนวิธีการจัดสรรทรัพยากรให้เป็นไปตามหลักความเสมอภาคมากขึ้น
และสร้างความเสมอภาคทางคุณภาพการศึกษาผ่านการใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพการศึกษาในบริบทของโรงเรียนขนาดเล็กได้อย่างยั่งยืน |