กสศ.เสนอ เรียนออฟไลน์ โควิด-19 หัวใจ ต้องทำให้เด็กสนใจมีส่วนร่วมให้ได้
กสศ.จัดเสวนา
ระดมสมอง ขณะนักการศึกษา เสนอเรียนออฟไลน์ ช่วงโควิด-19 ย้ำ
ต้องยึดหลักทำให้เด็กสนใจมีส่วนร่วมให้ได้ แนะ ยึดโยงบริบทชุมชน
เรียนรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน วันที่
21 พ.ค. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดเสวนา Equity talk
ผ่าน facebook live ในหัวข้อ "แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบออฟไลน์
ในช่วงโควิด-19 โดยมีวิทยากรได้แก่ ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล
อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ดร.พรนับพัน
วงศ์ตระกูล
หัวหน้าโครงการพัฒนาทักษะครูและนักจัดการเรียนรู้สำหรับห้องเรียนในศตวรรษที่
21 นายสามารถ สุทะ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแม่บอน จ.ลำพูน นางณภัค
ฐิติมนัส ครูโรงเรียนจักรคำคณาทร จ.ลำพูน
ผศ.อรรถพล กล่าวว่า โควิด-19
ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การศึกษาทั่วโลก
ซึ่งเราต้องเรียนรู้และหาวิธีการรับมือ ทั้งการจัดการศึกษาทางไกล
ไปจนถึงการบริหารจัดการโรงเรียนโดยไม่ทิ้งเด็กไว้ข้างหลังแม้แต่คนเดียว
ตลอดจนการสร้างความร่วมมือกับผู้ปกครอง
ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลของหลายโรงเรียนพบว่ามีนักเรียนจำนวนมากเข้าไม่ถึงอุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์
ทำให้ต้องวางแผนผสมผสานปรับกิจกรรมการเรียนให้มีความยืดหยุ่นทั้ง
การสอนออนไลน์ในส่วนเด็กที่มีความพร้อมและส่วนออฟไลน์ในส่วนเด็กที่ไม่พร้อม อย่างไรก็ตาม
ในการปรับหลักสูตร รูปแบบการเรียนการสอน
เราควรต้องยึดหลักที่เด็กทุกคนล้วนมีความสำคัญ ต้องไปสำรวจดูว่า
ใครเข้าถึงและเข้าไม่ถึงในเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งพ่อ แม่ ครู
มีความสำคัญต้องทำงานร่วมกันออกแบบกิจกรรมที่มีความเหมาะสมกับเด็ก
เด็กที่ไม่สามารถออนไลน์ ก็ต้องใช้วิธีการออฟไลน์ มีใบความรู้
ให้เด็กทำชิ้นงาน ที่ต้องมีภารกิจชัดเจน กำหนดว่า
ใครจะเป็นพี่เลี้ยงติดตามความก้าวหน้า
กำหนดช่วงเวลาที่ครูจะมาตรวจงานให้ความเห็น “ความสำคัญคือ
โรงเรียน ชุมชน ผู้ปกครอง จะต้องร่วมมือกันเพื่อให้การเรียนในช่วงนี้
ที่สำคัญคือการเรียนทางไกลที่จะเกิดขึ้นจะต้องพลิกวิกฤติเป็นโอกาสต้องทำให้เด็กมีส่วนร่วมรู้สึกเป็นเจ้าของบทเรียนของเขา
ดังนั้นต้องออกแบบการเรียนในสิ่งที่เขาอยากรู้ เป็นเรื่องใกล้ตัว
เพื่อให้เขาสนใจและตั้งใจเรียนรู้
และออกแบบให้น่าสนใจไม่ใช่ออกแบบใบความรู้ให้ต้องอ่านอะไรยาวๆ
แต่ต้องกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์” ผศ.อรรถพล กล่าว
นายสามารถ
กล่าวว่า ที่โรงเรียนมีนักเรียนจำนวนไม่มากทั้งหมดเป็น "ปกาเกอะญอ"
บางบ้านไม่มีไฟฟ้า บางบ้านไม่มีจานดาวเทียม
นำไปสู่การประชุมครูเพื่อทำหลักสูตรในช่วงนี้
โดยยึดโยงกับบริบทของพื้นที่ให้เด็กได้เรียนรู้จากชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน
ปู่ย่าตายยายของเด็ก
โดยสิ่งสำคัญคือเด็กจะต้องไม่ห่างจากการเรียนนานเกินไปไม่เช่นนั้นจะลืมสิ่งที่เคยเรียนโดยเฉพาะ
การอ่าน การผันสระ วรรณยุกต์ อย่างไรก็ตาม
มองว่าการเรียนในรูปแบบออฟไลน์ คงไม่อาจได้ผล 100%
เพราะขนาดเรียนในห้องเรียน เด็กยังไม่สนใจตลอดเวลา
เด็กจะมีสมาธิสนใจกับสิ่งที่เรียนตามอายุ เช่น ป. 6 จะสนใจ 12-15 นาที
ดังนั้นการที่จะให้เขาตั้งใจเรียนต้องหาเรื่องที่เขาสนใจเป็นพิเศษ
เพื่อดึงดูดสมาธิไว้ได้
รวมทั้งการที่เรียนรู้เรื่องของท้องถิ่นที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันไปก็สามารถให้ปู่
ย่า ตา ยาย
เป็นคนช่วยสอนซึ่งหลายเรื่องเป็นเรื่องที่อยู่ในชีวิตประจำวันของพวกเขาอยู่แล้ว “การออกแบบการเรียนรู้ไม่สามารถออกแบบเดียวแล้วใช้กับเด็กทุกคนได้ทั้งห้อง
เพราะเด็กบางคนเก่ง บางคนไม่เก่ง จะใช้ใบงานใบเดียวกันทั้งห้องไม่ได้
เราก็ต้องคิดว่า ใบงานนี้อาจง่ายเกินไปสำหรับเด็กเก่ง
ฉะนั้นในชุดกิจกรรมก็จะต้องมีทั้งที่เป็นของเด็กเก่ง
และไม่เก่งเพื่อให้เก่งให้เหมาะสมกับเด็ก” นายสามารถ กล่าว
ดร.พรนับพัน กล่าวว่า สิ่งที่จำเป็น คือ
โรงเรียนจะต้องมีความเชื่อมั่นว่าต้องผ่านเรื่องเหล่านี้ไปให้
โดยชุมชนจะมีส่วนสำคัญในการเข้ามา
ซึ่งการเรียนรู้ในแต่ละพื้นที่ต่างบริบทกันก็จะมีเรื่องที่เด็กสนใจแตกต่างกัน
ทำอย่างไรถึงจะทำให้เขาเลือกเรียนได้ตามความชอบ
ให้มีโอกาสได้เลือกเรียนโดยที่กิจกรรมมีความสนุก ท้าทาย
และมีประโยชน์ทั้งในห้องเรียน และในชีวิตจริง อย่างเช่นการคิดค้นสูตรดิน
ให้เมล็ดพันธุ์ไปทดลองปลูกที่เด็กจะได้สังเกตและเรียนรู้ด้วยตัวเอง
ไปจนถึงการทำบัตรคำศัพท์พร้อมรูปให้เด็กได้จับคู่ ซึ่งจะมีใบเฉลยอยู่ในซอง
ที่พ่อ แม่ รุ่นพี่ ครูอาสา ที่อยู่ในชุมชน สามารถเป็นคนช่วยอธิบาย
นางณภัค กล่าวว่า
ที่โรงเรียนมีนักเรียนจำนวนมากและมีความหลากหลาย
การสอนในวิชาโครงงานเป็นวิธีหนึ่งที่จะนำไปสอนเด็กแบบออฟไลน์ได้
โดยกำหนดเป็นกิจกรรมเช่นสำรวจลงพื้นที่ จดบันทึก
โดยครูจะต้องนึกถึงบริบทใกล้ตัว ในชุมชนมีอะไร ในบ้านมีอะไร
ให้เหมาะสมกับสภาพชีวิตของแต่ละคนที่เขาจะเห็นว่าทำไปแล้วจะเกิดประโยชน์
อย่างครอบครัวทำสวนลำไยก็ทำโครงงานเกี่ยวกับสวนลำไย
ที่สำคัญคือการใช้บริบทของท้องถิ่นมาเป็นฐานการเรียนรู้ของนักเรียน “ตรงนี้อาจเป็นโอกาสดีให้เด็กๆ
ได้เดินออกไปกลางทุ่ง ไปดูต้นไม้ใบหญ้า ไปสำรวจทุ่งนา ไปดูพืชสวนลำไย
ทุกอย่างคือการเรียนรู้ทั้งหมด ซึ่งบางทีอาจมีคนรู้มากกว่าครู
ก็ให้เด็กกลับลงไปถามปราชญ์ชาวบ้าน ให้เขาได้เสาะหาความรู้
โดยครูมีหน้าที่รับฟังวิธีคิด หากทำผิดครูก็ให้ข้อเสนอแนะ
หากทำดีก็ชมว่าทำดี
และควรมีศูนย์การเรียนรู้ประจำหมู่บ้านที่มีอินเทอร์เน็ต
เป็นห้องสมุดของชุมชน
ซึ่งไม่จำเป็นต้องเข้าไปเรียนพร้อมกันทุกคนตรงนี้จะเปิดโอกาสให้เด็กๆ
ได้มาก” นางณภัค กล่าว
ที่มา : นสพ.ไทยรัฐ
|
โพสเมื่อ :
25 พ.ค. 63
อ่าน 1578 ครั้ง คำค้นหา :
|
|