เอกซเรย์เด็กไทย "ครอบครัวอ่อนแอ-สื่อออนไลน์" บ่มภาวะเครียดเป็นพิษ



"รัก-เข้าใจ" เกราะสกัดภัยมืด

ป.5 ผูกคอในโรงเรียน พ่อสงสัยโดนเพื่อนล้อบ้านจน ถูกรุมแกล้ง เหยียบหน้าช้ำ (ไทยรัฐออนไลน์ 18 ธ.ค.)

ม.1 แค้นเพื่อน ยิงหัวหน้าห้องเรียน เก็บกดมานานโดนล้อตุ๊ดเกย์ (นสพ.ไทยรัฐ 19 ธ.ค.)

นักเรียนอีกแล้ว ปาดคอเพื่อนเจ็บ (นสพ.ไทยรัฐ 23 ธ.ค.)

3 พาดหัวข่าวใหญ่ที่ปรากฏผ่านสื่อหน้า 1 เพียงช่วงเดือน ธ.ค.2562 ถูกหยิบยกเป็นประเด็นคำถามถึงพฤติกรรมนักเรียนที่ก่อเหตุความรุนแรงถึงขั้นสังเวยชีวิตกัน จนเกิดกระแสเรียกว่า บูลลี่ (Bully) หรือพฤติกรรมการรังแก กลั่นแกล้งผู้อื่นทั้งทางกิริยา วาจา ยังไม่นับรวมอีกหลายข่าวที่ผ่านมา และที่ถูกปกปิดซ่อนเร้น

จากสถิติกรมสุขภาพจิตระบุว่า ในปี 2561 มีนักเรียนไทยโดนกลั่นแกล้งในโรงเรียนสูงถึง 600,000 คน หรือคิดเป็นอัตราส่วน 40% ทั้งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น

รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ชี้ให้เห็นถึงต้นเหตุสำคัญของพฤติกรรมความรุนแรงในเด็กและเยาวชนว่า “มาจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ 1.ครอบครัว ด้วยสภาพแวดล้อมพื้นฐานเด็กที่มาจากครอบครัวอ่อนแอ แหว่งกลาง แยกทางกัน ทำร้ายกัน ปล่อยเด็กอยู่คนเดียวหรือให้ผู้สูงอายุหรือผู้อื่นดูแล สิ่งเหล่านี้เป็นฐานของครอบครัววิกฤติ เกิด ภาวะความเครียดเป็นพิษ หรือ Toxic Stress คือปฏิกิริยาสารพิษที่ตอบสนองต่อความเครียด ส่งผลต่อการใช้ชีวิต ทำให้เด็กก้าวร้าว เริ่มตั้งแต่วัยเด็กเล็ก จนเกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนในวัยรุ่น ทั้งยังก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อในวัยกลางคนต่อไป ไม่ว่าจะเป็นความดันสูง เบาหวาน เนื่องจากฮอร์โมนความเครียดที่หลั่งออกมาสูงแต่วัยเด็ก เป็นปัญหาข้อแรกที่ต้องแก้ที่สถานการณ์ครอบครัว และ 2.สื่อผ่านออนไลน์ทุกชนิดที่ไปกระตุ้นพฤติกรรมเบี่ยงเบนในเด็ก รวมทั้งไปสร้างความเครียดเสริมครอบครัวที่อ่อนแอให้กับเด็ก ซึ่งเราพบเด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศผ่านการติดต่อทางออนไลน์มากขึ้น เด็กถูกรังแกจนเครียดผ่านทางออนไลน์มากขึ้น เด็กดูเนื้อหาไม่เหมาะสม ยิงกันตาย ฆ่ากันรุนแรงวันละหลายชั่วโมงจนเคยชิน โดยพบข้อมูลน่าห่วงว่า เด็กเสพสื่อออนไลน์อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานถึงวันละ 7–8 ชม.ต่อวัน ทั้งยังก่อให้เกิดปัญหาทางสมองตามมา”

ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล ยังเสนอแนะว่า “ทุกคนต้องรับผิดชอบปัญหาครอบครัวร่วมกัน ทั้งสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) องค์กรที่ให้บริการการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ต้องควบคุมเวลาและเนื้อหาผ่านสื่อต่างๆ สิ่งแวดล้อมที่เป็นภาวะเสี่ยงต้องถูกควบคุม ไม่ใช่การโทษแต่ครอบครัว”

“ขณะนี้ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล กำลังจัดตั้งศูนย์ศึกษาวิจัยเด็กที่ได้รับประสบการณ์เลวร้ายในชีวิต หรือมีภาวะ Toxic Stress เรียกว่า “ศูนย์สมานใจปฐมวัยสาธิต” โดยรับเด็กที่ตกอยู่ในภาวะที่ต้องได้รับการดูแล เข้ามาเรียนร่วมกับเด็กปกติที่ศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยของสถาบัน ซึ่งดูแลเด็กตั้งแต่ 1-6 ขวบ มีการออกแบบการเรียนที่ทำให้เด็กมีความสุข ที่ผ่านมาสถาบันได้ศึกษาวิจัยนำเด็กที่มีปัญหา 10 กว่าคนเข้ามาดูแลปรับสภาพ ใช้การเรียนร่วมกับเด็กของศูนย์

เพราะเราเชื่อว่า การแยก เด็กมีปัญหาไปอยู่ในสถานสงเคราะห์หรือบ้านพักเด็กและครอบครัว และการพบจิตแพทย์เป็นรายชั่วโมงต่อครั้ง ไม่ใช่ทางแก้ไขปัญหา แต่ถ้าเด็กได้อยู่ในวิถีชีวิตประจำวันที่ออกแบบอย่างเข้าใจ มีความรัก ความอบอุ่น จะเป็นพื้นฐานป้องกันภาวะเลวร้ายต่างๆ ตัวอย่างเช่น เด็ก 3 ขวบกว่าที่เราช่วยจากครอบครัวมีปัญหาช่วง 2-3 เดือนเด็กไม่พูดเลย แต่พอเข้ามาสู่บรรยากาศที่มีความรัก ความอบอุ่น ได้เรียนร่วมกับเด็กในศูนย์ ทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัย รู้สึกถึงความมีตัวตน ไม่ถึง 7 วันเด็กพูดได้ ร้องเพลงได้ ใช้ชีวิตกับเด็กอื่นๆได้ ปีนี้จึงจะขยายการศึกษาวิจัยเด็กเหล่านี้เพิ่ม 20 คน จากนั้นจะขยายการรองรับ 4-5 จังหวัดรอบๆเพิ่มขึ้น” รศ.นพ.อดิศักดิ์ ฉายภาพเทคนิคการเยียวยาเพื่อดึงเด็กกลุ่มเสี่ยงกลับสู่ภาวะปกติ

การดูแลเด็กเหล่านี้มีหลักใหญ่ 3 ขั้นตอน คือ 1.ทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัยก่อน 2.ทำให้รู้สึกมีตัวตน และ 3.แก้ปัญหาพัฒนาการของเด็ก วัยเหมาะสมในการปรับพฤติกรรมคือยิ่งเล็กยิ่งปรับได้ง่าย สิ่งที่สถาบันดำเนินการไม่ได้ต้องการให้แต่ละพื้นที่ไปจัดตั้งศูนย์เช่นนี้ แต่เป็นกรณีศึกษา เพราะแต่ละพื้นที่มีศูนย์เด็กเล็ก มีโรงเรียนอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องทำงานร่วมกับชุมชน หากพบเด็กกลุ่มเสี่ยง ชุมชนต้องไปแยกออกมาแล้วนำสู่การบำบัดดูแลด้วยระบบเรียนรู้ร่วมกับเด็กทั่วไป ไม่ใช่แบ่งแยกเด็ก ขณะที่โรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็กต้องเปิดรั้วรับเด็กเหล่านี้ได้ตลอดเวลาให้เด็กเข้าไปเรียนร่วม เจอเพื่อนๆ โดยมีครูที่เข้าใจและพร้อมรองรับ เด็กจะได้ใช้ชีวิตเชื่อมกับชุมชน เมื่อเด็กได้รับความรัก ความเข้าใจ จะทำให้ภาวะความเครียดลดลง สามารถปรับตัวและมีพัฒนาการที่ดีได้ต่อไป

ทีมข่าวการพัฒนาสังคม มองว่า สังคมปัจจุบัน สภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กมีทั้งด้านดีและเลวร้าย แม้ครอบครัวจะเป็นปราการด่านแรกที่ต้องปกป้องดูแลเด็ก แต่คงไม่อาจจะผลักไสให้เป็นหน้าที่เพียงครอบครัวฝ่ายเดียว

หากแต่ทุกภาคส่วนต้องตระหนักและให้ความสำคัญในการดูแลเด็กเช่นกัน อย่ามองเด็กเป็นเพียง “เหยื่อ” ความรุนแรง หวังแสวงหาผลประโยชน์ หรือมองธุระไม่ใช่ แต่ต้องมองถึง “คุณค่าเด็ก” ที่เป็นพลังสร้างสรรค์สังคมและประเทศชาติในอนาคต

ถึงเวลาหยุดสังเวยสังคมอ่อนแอด้วย “เหยื่อบริสุทธิ์” เสียที.

ทีมข่าวการพัฒนาสังคม


โพสเมื่อ : 09 ม.ค. 63   อ่าน 1249 ครั้ง      คำค้นหา :