ร่าง พ.ร.บ. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา "ปลดล็อกเหลื่อมล้ำ" : บทพิสูจน์ความจริงใจรัฐบาล



“เราจะเดินหน้าไปด้วยกัน โดยจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนประเทศ สู่นโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ที่มักจะได้ยินจากปาก “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวมถึงบรรดารัฐมนตรีหลายต่อหลายคนในรัฐบาล

สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหา “ความเหลื่อมล้ำ” ที่เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย จนกลายเป็นที่มาของการตราในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ให้มีการปฏิรูปประเทศใน 11 ด้าน เพื่อเติมเต็มศักยภาพก่อนเดินหน้าสู่ยุค 4.0

แต่การจะพัฒนาประเทศให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ต้องอาศัยเครื่องมือสำคัญนั่นคือ การศึกษาที่มีคุณภาพ ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายยอมรับแล้วว่า คุณภาพการศึกษาไทยตกต่ำมีสาเหตุหลักมาจากปัญหาความเหลื่อมล้ำ

จึงมีการระบุชัดในมาตรา 54 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย “ให้จัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษาและเพื่อเสริมสร้างและ พัฒนาคุณภาพและ ประสิทธิภาพครู โดยให้รัฐจัดสรรงบ ประมาณให้แก่กองทุน หรือใช้มาตรการหรือกลไกทางภาษี รวมทั้งการให้ผู้บริจาคทรัพย์สินเข้ากองทุน ได้รับประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีด้วย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ”

และแล้วฝันของคนไทยก็ใกล้เป็นจริง เมื่อวันที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ได้มีมติรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.... ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ และได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.กองทุนฯ เพื่อเร่งดำเนินการตามขั้นตอนการตรากฎหมายให้ทันประกาศใช้ภายในวันที่ 6 เม.ย. 2561 ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

แต่ใช่ว่าเส้นทางของ ร่าง พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ที่จะมาช่วย “ปลดล็อก” ความเหลื่อมล้ำจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะเกิดประเด็นปัญหาถึงขั้นมีนักวิชาการออกมาแสดงความเห็นว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ และรัฐบาลกลืนน้ำลายตัวเองที่ประกาศจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ

เพื่อให้สังคมเกิดความกระจ่างแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้น “ทีมการศึกษา” ขอฉายเส้นทางการยกร่างกฎหมายกองทุน ซึ่งรัฐบาลได้มอบภารกิจสำคัญให้ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ที่มี ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา เป็นประธาน โดยมี คณะอนุกรรมการกองทุน ที่มี ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นประธานนำทีมยกร่าง ก่อนประเดิมส่งร่างกฎหมายฉบับแรกให้ ครม.พิจารณาเมื่อวันที่ 21 พ.ย.2560

ในการประชุมดังกล่าว ครม.มีมติอนุมัติหลักการ ร่าง พ.ร.บ.กองทุนฯ และส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา พร้อมให้รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ ที่ท้วงติงเรื่องแนวทางการจัดสรรงบประมาณให้กองทุนฯที่ระบุว่า “เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของเงินงบประมาณแผ่นดินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา” ไม่สามารถทำได้ เพราะไม่ใช่วิธีการทางงบประมาณ

คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ที่มี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานตรวจพิจารณาร่างกฎหมาย ได้เห็นชอบแนวทางการสนับสนุน งบ ประมาณให้แก่กองทุนโดย “จัดสรรทุนประเดิมจำนวน 1,000 ล้านบาท และเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของงบประมาณแผ่นดินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ในวาระเริ่มแรกเป็นเวลา 5 ปี” จากนั้นให้บอร์ดอิสระฯยืนยันร่างและส่งกลับให้ ครม.พิจารณาอีกครั้ง

ในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้พิจารณาเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.... แต่ “ดับฝัน” ด้วยการตัดถ้อยคำ “เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของเงินงบประมาณแผ่นดินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา” ออก เปลี่ยนเป็น “เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี ตามแผนการใช้เงินที่คณะกรรมการและ ครม.เห็นชอบแล้ว” แทน

ก่อนส่งไม้ต่อให้ สนช. ซึ่งหลังมีมติรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.กองทุนฯแล้ว สนช.ได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.กองทุนฯ มีกำหนดแปร ญัตติภายใน 7 วัน และระยะเวลาดำเนินงาน 42 วัน โดยจะเริ่มพิจารณารายมาตราในวันที่ 6 มี.ค.นี้ และจะพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 26 มี.ค. เพื่อเสนอ สนช.พิจารณาวาระ 2 และ 3 ให้ทันประกาศใช้ตามเงื่อนเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนด

ท่ามกลางข้อห่วงใยของ ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ที่มองว่า “เข้าใจ ว่าเป็นวิธีการทางงบประมาณ ดังนั้น ในปีแรกบอร์ดอิสระฯคงต้องมาจัดทำแผนเพื่อให้ได้งบ 25,000 ล้านบาท ถ้า ครม.เห็นความจำเป็นและความสำคัญในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำก็คงให้ความเห็นชอบ ส่วนในปีต่อไปก็คงต้องทำแผนการใช้เงินเสนอ ซึ่งต้องยอมรับ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้เกิดความไม่แน่นอน อาจจะทำให้โครงการไม่สำเร็จ เพราะมีตัวอย่างมาแล้วคือ พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการวิจัยที่ได้งบฯมาปีแรกแล้วปีต่อไปก็ไม่ได้ ส่วนจะผลักดันให้มีการแปรญัตติหรือไม่นั้น อยู่ที่ สนช.จะพิจารณาเราคงไม่ไปก้าวล่วง”

ตอกย้ำด้วยคำให้สัมภาษณ์ของ นายมีชัย ฤชุพันธ์ุ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ “การปฏิรูปการศึกษาจะสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าเอาจริงเอาจังเรื่องการปฏิรูปมากน้อยแค่ไหน จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับร่างกฎหมายนี้ การปฏิรูปไม่ใช่ของง่าย และต้องการการตัดสินใจที่มั่นคงเด็ดขาดของผู้รับผิดชอบ...จะให้ไปกราบใครก็ได้ ขอสัก ครั้งได้ไหม ขอให้คิดว่าปฏิรูปแล้วเด็กไทย ได้อะไร”

“ทีมการศึกษา” คงไม่ก้าวล่วงตัดสินชี้ขาด เพียงแต่ทำหน้าที่สะท้อนปัญหาและข้อห่วงใยที่เกิดขึ้น ส่วนการตัดสินใจเรื่องนี้คงต้องให้เป็นอำนาจของ สนช. และรัฐบาล

อย่าให้นโยบาย “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เป็นเพียงวาทกรรมทางการเมือง!!!

ทีมการศึกษา


ที่มา : นสพ.ไทยรัฐ


โพสเมื่อ : 06 มี.ค. 61   อ่าน 1496 ครั้ง      คำค้นหา :