![]() |
นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เปิดเผยว่า สกศ. ดำเนินการตามนโยบาย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ในการส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิรูปการศึกษาปี 2561 โดยได้ทำวิจัยแนวทางการจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษาที่สอดคล้องตามคุณลักษณะและความแตกต่างของผู้เรียน รวมถึงสอดคล้องตามประเภทและความแตกต่างของสถานศึกษาทั้งในมิติของขนาดและพื้นที่ ทั้งนี้ สกศ.มีแนวคิดปฏิรูประบบทรัพยากรเพื่อการศึกษา โดยมุ่งเน้นการจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษาผ่านตัวผู้เรียน พัฒนามาจากแนวคิดด้านเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับการเงินด้านอุปสงค์ที่ได้รับการผลักดันและนำมาใช้เพื่อพัฒนาระบบการเงินเพื่อการศึกษาในหลายประเทศทั้งประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศกำลังพัฒนา เช่น จีน บราซิล เม็กซิโก โคลอมเบีย เนปาล อินโดนีเซีย ฯลฯ พบว่าส่วนใหญ่มี 3 รูปแบบหลัก ได้แก่ คูปองการศึกษา เงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไข และเงินอุดหนุนรายหัว ซึ่งปัจจุบันการจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษาที่ดำเนินการในประเทศไทยและหลายประเทศเป็นรูปแบบผสมผสาน แต่ยังขาดประสิทธิภาพและความเสมอภาค ยังขาดการจัดสรรให้สอดคล้องตามความจำเป็นของผู้เรียน นายชัยพฤกษ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันทรัพยากรและงบประมาณในระบบการศึกษามีจำนวนมาก แต่ยังประสบปัญหาประสิทธิภาพ เช่น บัญชีรายจ่ายเพื่อการศึกษา และระบบการคัดกรองเด็กยากจน เป็นต้น ดังนั้นการเพิ่มงบประมาณจึงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา แต่จำเป็นต้องพิจารณาและออกแบบกลไกหรือระบบให้การจัดสรรไปให้ตรงจุดการพัฒนาคุณภาพและมีประสิทธิภาพ สกศ.เสนอแนวคิดให้มีการปรับปรุง 3 ระบบสำคัญควรมาใช้ร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความคุ้มค่าต่อการใช้งบประมาณที่จัดสรรลงไป 1.การจัดสรรเงินอุดหนุนแก่สถานศึกษาตามจำนวนผู้เรียน ควรจัดสรรแบบเป็นก้อนรวม รวมเงินเดือนครูและบุคลากรทางการศึกษา และค่าจัดการเรียนการสอน ไว้ด้วยกัน และให้เขตพื้นที่การศึกษาหรือจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบจัดสรรแก่สถานศึกษาที่มีมิติของจำนวนผู้เรียนและขนาดสถานศึกษาแตกต่างกันตามความเหมาะสม 2.ทดลองนำระบบคูปองการศึกษาเพื่อเป้าหมายเฉพาะ โดยกำหนดมูลค่าคูปองที่เหมาะสมเพียงพอจะทำให้สถานศึกษาเอกชนแข่งขันกับสถานศึกษาของรัฐได้ และพิจารณายกเลิกเพดานการเก็บค่าธรรมเนียมการศึกษาของโรงเรียนเรียนเอกชน เพื่อให้มีการจัดการศึกษาสะท้อนความต้องการของผู้เรียนได้อย่างแท้จริง และ 3.การอุดหนุนทางการเงินแบบมีเงื่อนไข รัฐควรจัดสรรเงินสดให้แก่ครอบครัวที่ขาดแคลนหรือยากจน เพื่อใช้จ่ายสำหรับการเดินทางมาเรียน ค่าเสียโอกาสในการเข้าเรียน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาในระดับปฐมวัยจนถึงมัธยมศึกษาตอนต้น ทั้งนี้ อาจปรับใช้โดยอาศัยงบประมาณจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบหลักการแล้วเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 ใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา ที่มา : นสพ.มติชน |
โพสเมื่อ : 16 ม.ค. 61 อ่าน 2273 ครั้ง คำค้นหา : |